จิสด้า ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศบูรณาการร่วมสร้างความรับผิดชอบต่อสังคม ส่งเสริมเรียนรู้ “คาร์บอนเครดิต”
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ จิสด้า ร่วมกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง สนับสนุน ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการรับผิดชอบต่อสังคม โดยนำ “คาร์บอนเครดิต” ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรฐานการรักษาชั้นบรรยากาศโลก เข้ามามีบทบาทในการบริหารจัดการเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน หลังจากที่ไทยเข้าร่วมอนุสัญญาภายใต้การลดภาวะโลกร้อน และได้ให้คำมั่นว่าในอีก 4-5 ปีข้างหน้าจะลดภาวะเรือนกระจก 7%
ในปัจจุบันไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศประมาณ 300 ล้านตัน พื้นที่ป่าจึงมีประโยชน์ช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 70 ล้านตันในภาพรวมของประเทศ ซึ่งรวบรวมข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
นายคติวิช กันธา นักภูมิสารสนเทศชำนาญการของจิสด้า กล่าวว่า หลักการคิดด้านคาร์บอนเครดิตมาจาก สมมติว่า มีโรงงานอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศประมาณ 100 ตันต่อปี ภาพลักษณ์โรงงานดังกล่าวจะติดลบในทันที เพราะมีส่วนทำให้โลกร้อนขึ้น
"จึงเป็นที่มาว่าโรงงานอุตสาหกรรมแห่งดังกล่าวจะต้องมีพื้นที่ป่าไม้เพื่อแสดงความรับผิดชอบในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่โรงงานปล่อย ซึ่งโรงงานจะปลูกป่าทดแทนเองหรือไม่ก็ได้ หรืออาจจะซื้อเครดิตจากป่าชุมชนก็ได้ เช่น ป่าชุมชนหนึ่งมีพื้นที่ป่าที่รับผิดชอบคอยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 30 ตัน โรงงานอุตสาหกรรมสามารถไปซื้อคาร์บอนเครดิตของป่าแห่งนี้มาได้
"ดังนั้นจากที่ต้องรับผิดชอบ 100% ก็อาจจะเหลือแค่ 70% ภาพลักษณ์ของโรงงานอุตสาหกรรมดังกล่าวก็จะดีขึ้น ยิ่งถ้าโรงงานปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้นเท่าไหร่ ก็ต้องไปหาซื้อเครดิตของป่า หรือปลูกป่าทดแทนเพื่อช่วยดูดซับมากขึ้นเท่านั้น ดั้งนั้นปริมาณคาร์บอนที่กักเก็บไว้ในพื้นที่ป่าแต่ละประเภท สามารถนำไปต่อยอดเพื่อพัฒนาให้เป็นคาร์บอนเครดิตจากชุมชนที่จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ อีกทั้งยังทำให้สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศมีความอุดมสมบูรณ์และยังทำให้ชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี"
ปัจจุบันมีหน่วยงานระดับกลาง เช่น จากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ซึ่งมีพื้นที่ป่าที่รับผิดชอบและมีแนวเขตที่ชัดเจน ทั้งป่าสงวนแห่งชาติ ป่าชุมชนรวมอยู่ด้วย พื้นที่ในส่วนนี้จะต้องขึ้นทะเบียนกับ TGO หรือองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ซึ่งการขึ้นทะเบียนดังกล่าวก็เพื่อให้กระบวนการวัดปริมาณการกักเก็บคาร์บอน หรือคาร์บอนเครดิตเป็นไปตามมาตรฐานสากล มีความละเอียดรอบคอบ และถูกต้องมากที่สุด
"หลังจากขึ้นทะเบียนเรียบร้อยแล้ว มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง และจิสด้า ก็จะร่วมกันตรวจวัดปริมาณคาร์บอนในพื้นที่ป่า โดยใช้ภาพถ่ายจากดาวเทียมเพื่อดูว่าพื้นที่ป่าของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงมีอยู่ที่ไหนบ้าง จากนั้นจะจำแนกชนิดป่าด้วยข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมว่าในพื้นที่นั้นๆ มีป่าชนิดใดบ้าง และในแต่ละชนิดของป่าก็ต้องมีการวิเคราะห์ความหนาแน่นของป่าว่ามีความหนาแน่นมาก หรือปานกลาง หรือน้อย"
จากนั้นจะสุ่มด้วยระบบคอมพิวเตอร์ในบริเวณที่เราต้องการจะวัดปริมาณการกักเก็บฯ ซึ่งเมื่อได้ตำแหน่งที่แน่นอนแล้ว ก็จะเป็นกระบวนการของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงที่จะต้องเข้าไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ป่าที่ให้ปริมาณคาร์บอนเครดิตมากที่สุด คือป่าดิบ รองลงมาจะเป็นป่าสน ป่าผสมผลัดใบ ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง และป่าชายเลน
ปัจจุบัน จิสด้าได้ดำเนินงานในภาคส่วนการวิเคราะห์พื้นที่ป่าไม้และความหนาแน่นของป่าไม้ร่วมกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพื้นที่นำร่อง จังหวัดเชียงรายและจังหวัดน่าน เพราะเป็นพื้นที่ที่ทางมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงให้การสนับสนุนทางด้านส่งเสริมการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาทางสังคมและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ตลอดจนมีส่วนร่วมในโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศ
"นอกจากจะสร้างมูลค่าจากคาร์บอนเครดิตที่ได้จากผืนป่าแล้ว ยังปลูกฝังให้คนในชุมชนรักษาป่าต้นน้ำให้อุดมสมบูรณ์ เกิดความรักและหวงแหนผืนป่า ที่ทำให้คนสามารถอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างยั่งยืนในที่สุด" นายคติวิช กล่าว