ในมุมมองของ Leonardo da Vinci ภาพวาดมิได้เป็นเพียงสิ่งที่ศิลปินรังสรรค์ขึ้นแทนธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งที่ช่วยให้มนุษย์เข้าใจปรากฏการณ์ในธรรมชาติด้วย ด้วยเหตุนี้ภาพแต่ละภาพที่ Leonardo วาดจึงทำให้คนดูภาพเห็นและเข้าใจความคิดเชิงวิทยาศาสตร์ของ Leonardo ด้วย การแสดงความสามารถในการผสมผสานศิลปะกับวิทยาศาสตร์ได้อย่างลงตัว จึงช่วยให้ผู้ดูภาพทุกคนสามารถเข้าใจความอัศจรรย์และหลักการทำงานของธรรมชาติได้ เป็นการสร้างความกระหายที่จะเรียนรู้ และเข้าใจในสรรพสิ่งต่อไป และนี่คือเหตุผลหลักที่ทำให้ Leonardo สามารถผลิตงานศิลปะที่มีความเป็นอมตะได้อย่างนิรันดร์กาล
เพราะ Leonardo เป็นอัจฉริยะผู้มีความสามารถระดับเลิศในทุกด้าน ไม่ว่าจะด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ หรือศิลปะศาสตร์ ฯลฯ ดังผลงาน Mona Lisa ซึ่งเป็นภาพวาดที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก และสมุดจดบันทึกของ Leonardo ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังมากเช่นกัน ซึ่งในปี 1994 ที่มหาเศรษฐี Microsoft ชื่อ Bill Gates ได้จ่ายเงิน 1,100 ล้านบาท เพื่อซื้อไปเป็นเจ้าของภาพสเก็ตซ์อุปกรณ์ต่างๆ ที่ Leonardo ออกแบบ เช่น ร่มชูชีพ เลนส์ รถถัง อุปกรณ์ดำน้ำ ฯลฯ โดยไม่ได้จดสิทธิบัตรใดๆ ในความเป็นจริงถ้าคนในสมัยนั้นสามารถสร้างอุปกรณ์ต่างๆ ที่ Leonardo ออกแบบได้ ในอีก 500 ปีต่อมา Leonardo ก็จะมีเงินมากมหาศาล จนทำให้ Bill Gates ดูเป็นยาจกไปในพริบตา Leonardo จึงเปรียบเสมือนคนที่เกิดก่อนยุคของตนประมาณ 500 ปี อนึ่งเวลา Leonardo จดบันทึก เพราะเป็นคนที่เขียนหนังสือถนัดซ้าย ดังนั้นจึงชอบเขียนจากขวาไปซ้าย เพื่อไม่ให้มือทับหมึกที่ยังเปียกอยู่ และเขียนอักษรกลับข้าง ซึ่งทำให้ใครๆ ก็อ่านไม่ออก แต่ถ้านำกระจกเงาราบมาวางใกล้ๆ สมุด ลายมือในกระจกจะทำให้คนดูอ่านข้อความออก
สำหรับกรณีภาพ Mona Lisa นั้นมีเอกลักษณ์ที่สำคัญสุดยอดหลายประการ เช่น มีรอยยิ้มที่มีนัยยะมากมาย ตามจินตนาการของผู้ดูภาพ การวาดฉากหลังเป็นภาพของธรรมชาติที่มีภูเขา สายน้ำ หมอก สะพาน เมฆ และป่า เป็นประเด็นที่ไม่มีจิตรกรคนใดในอดีตเคยทำมาก่อน จึงทำให้ภาพปรากฎเป็นสามมิติ นอกจากนี้ Leonardo ยังได้วาดภาพใบหน้ารอยยิ้มและสายตาของ Mona Lisa ให้ดูเป็นธรรมชาติ โดยอาศัยอิทธิพลของแสงและเงาที่มาตกกระทบนางแบบด้วย
ส่วนภาพปูนเปียก The Last Supper ที่ Leonardo วาดเป็นภาพการเสวยพระกระยาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซูกับสานุศิษย์ ภาพนี้มีความโดดเด่นในการจัดฉาก ซึ่งแตกต่างจากภาพวาดของจิตรกรคนอื่นๆ ที่มักวาดให้สานุศิษย์ทุกคนนั่งเงียบๆ และมีสีหน้าที่วางเฉย ขณะได้ยินพระเยซูตรัสว่า มีศิษย์คนหนึ่งได้ทรยศต่อพระองค์ (ศิษย์คนนั้นคือ Juda ซึ่งมักถูกวาดให้นั่งที่ปลายโต๊ะอาหาร) แต่ในการวาดภาพ The Last Supper นี้ Leonardo ได้ให้ศิษย์แต่ละคนแสดงออกซึ่งอาการตระหนกตกใจและประหลาดใจ เช่น ศิษย์ Peter ซึ่งได้เอ่ยบอกว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ทรยศ ด้าน John ก็ถูกวาดให้นั่งเงียบอย่างมั่นใจว่า คงไม่มีใครใดสงสัยตน สำหรับ Juda (ซึ่งเป็นคนทรยศตัวจริง) ได้เอื้อมมือไปหยิบเหรียญที่วางอยู่บนโต๊ะอาหารเป็นการพยายามกลบเกลื่อนอาการผิดปกติของจิตใจไม่ให้คนอื่นรู้ เมื่อดูในภาพรวม ศิษย์ทุกคนจะยื่นมือออกหรือยกมือขึ้น เสมือนเป็นฝูงนกพิราบที่กำลังจะโผบินอย่างแตกตื่นเมื่อเห็นแมว นี่เป็นการบิลด์อารมณ์ของคนดูภาพให้สามารถอ่านความรู้สึกนึกคิดของคนจากอากัปกริยาท่าทาง ความสามารถของ Leonardo ในการวาดเช่นนี้มีส่วนทำให้ The Last Supper เป็นภาพปูนเปียกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดภาพหนึ่งของโลก
ตลอดชีวิต Leonardo วาดภาพไม่เกิน 20 ภาพ หลายภาพถูกเก็บสะสมในฐานะศิลปะวัตถุที่มีค่าควรเมือง เช่น Mona Lisa ซึ่งอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Louvre ในกรุงปารีส ให้ชาวฝรั่งเศสได้ภูมิใจที่เป็นเจ้าของว่าจะต้องปกป้องยิ่งเอกราชของชาติ และอีกหลายภาพที่ได้สาบสูญไปเพราะถูกทำลายโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือถูกเก็บเป็นสมบัติส่วนตัวของคนบางคน โดยที่เจ้าของไม่ตระหนักแม้แต่น้อย
ดังนั้นเมื่อใดที่มีข่าวการพบภาพวาดของ Leonardo ที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน คนทั้งโลกจึงตื่นเต้นมาก เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เกิดขึ้นบ่อย และทุกคนก็รู้ว่าก่อนจะเป็นที่ยอมรับว่าเป็นภาพที่ Leonardo da Vinci วาดจริง การตรวจสอบอย่างละเอียดทุกแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเทคนิคการวาด การลงแปรงสี สีที่ใช้ระบาย ความสามารถส่วนตัวของจิตรกรที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ การวัดอายุของกรอบและผ้าใบที่ใช้วาดภาพ รวมถึงการเปรียบเทียบภาพที่ต้องสงสัยกับภาพที่รู้ชัดว่า Leonardo วาดจริง ฯลฯ จึงเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ
ดังเหตุการณ์ที่ปรากฏครั้งสุดท้ายเมื่อปี 1909 ว่าที่พิพิธภัณฑ์ Hermitage ในกรุง St. Peterburg ของรัสเซียมีภาพชื่อ Benois Madonna (Madonna and Child with a Flower) ทีได้รับการพิสูจน์ว่า เป็นภาพที่ Leonardo วาดจริง
และในกรณีล่าสุด ซึ่งเป็นภาพชื่อ Salvator Mundi ของ Leonardo ที่ได้รับการซื้อด้วยราคาสูงที่สุดในโลกคือ 14,900 ล้านบาท เมื่อปีกลาย และมีกำหนดจะเปิดตัวให้โลกดูอย่างเป็นทางการในวันที่ 18 กันยายนนี้ที่พิพิธภัณฑ์ Louvre Abu Dhabi ในสาธารณรัฐ United Arab Emirates หลังจากที่ผ่านการพิสูจน์และตรวจสอบ อย่างละเอียดละออ และถี่ถ้วนเป็นเวลานาน 6 ปีจนประจักษ์ว่าเป็นของจริง
ภาพวาดนี้มีชื่อที่แปลว่า พระเยซูผู้ไถ่บาปให้แก่มวลมนุษย์ เป็นภาพเหมือนของพระเยซูแสดงพระพักตร์ตรง พระเนตรจ้องตรงที่คนดูภาพ พระหัตถ์ขวายกขึ้น โดยมีพระดัชนี (นิ้วชี้) ไพล่กับพระมัชฉิมา (นิ้วกลาง) อันเป็นทำนองทรงโปรดอวยพรทุกคน ส่วนฝ่าพระหัตถ์ซ้ายทรงประคองลูกแก้วกลม
เพราะเป็นภาพที่มีความหมายความหมายทางศาสนามาก ดังนั้นจึงมีคนพยายามลอกเลียนมาก ภาพมีทั้งขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก ตลอดเวลาที่ผ่านมาร่วม 500 ปีนี้
สำหรับประวัติความเป็นภาพของภาพ Salvator Mundi นักประวัติศิลปะมีบันทึกว่า สมเด็จพระเจ้า Charles ที่ 1 แห่งอังกฤษทรงมีภาพนี้ในครอบครองตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 และได้ถูกส่งต่อไปยังพระเจ้า Charles ที่ 2 กับพระเจ้า James ที่ 2 ตามลำดับ ซึ่งพระองค์ได้ทรงประทานให้แก่ Countess of Dorchester กับทายาท จนถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ภาพก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยเป็นเวลาประมาณสองศตวรรษ ถึงปี 1958 ภาพจึงได้ปรากฏอยู่ในความครอบครองของ Sir Herbert Cook ในลักษณะที่แสดงว่าพระพักตร์ของพระเยซู และพระเกษาถูกระบายเพิ่มเติมด้วยสีอย่างเห็นได้ชัด จึงถูกแทงจำหน่ายออกในราคา 45 ปอนด์ แล้วได้อันตรธานไปอีกคำรบหนึ่งเป็นเวลาเกือบ 50 ปี จนถึงปี 2005 ก็ได้มีการขายภาพนี้ในตลาดของเก่าที่อเมริกา และ Alexander Paris ซึ่งเป็นคหบดีชาวอเมริกันได้ซื้อไปในราคา 10,000 ดอลลาร์ หลังจากที่ได้ทำความสะอาด ก็รู้สึกสนใจจะติดตามหาที่มาของภาพ จึงนำไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญแห่ง Institute of Fine Arts ที่มหาวิทยาลัย New York ซึ่งได้วิเคราะห์จนพบว่า แม้จะถูกตกแต่ง และต่อเติมด้วยสีสักเพียงใด สีดั้งเดิมก็ยังคงอยู่ โดยเฉพาะที่พระหัตถ์ทั้งสองข้าง พระเกษาที่หยักศก ฉลองพระองค์ และพระพักตร์ รวมถึงทรงกลมกลมแก้วก็อยู่ในสภาพเกือบสมบูรณ์ คือไม่ใสสะอาด 100% โดยเปรียบทรงกลมแก้วเสมือนโลก ที่พระเยซูทรงเปลื้องบาปของมวลมนุษย์ให้
การวิเคราะห์ภาพโดยใช้รังสี infrared ถ่ายที่พระอังกุฐ (หัวแม่มือ) ของพระหัตถ์ขวา พบว่าชี้ตรงยิ่งกว่าภาพที่ตกแต่ง และที่พระนลาฏ (หน้าผาก) ทางด้านซ้ายมีลายนิ้วมือของจิตรกรผู้วาด ซึ่งใช้ขอบมือลูบไล้ไปบนสีเพื่อให้ภาพดูนุ่มนวล และกลมกลืนกับแสงและเงา นี่เป็นเทคนิค sfumato ของศิลปินเอก Leonardo หนึ่งเดียวเท่านั้น การใช้เทคนิคการวัดอายุของสี และผ้าที่ใช้ในการวาดก็สอดคล้องกับช่วงเวลาที่ Leonardo ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นเมื่อรู้แน่ชัดว่า นี่เป็นภาพที่ Leonardo วาดจริง ภาพจึงถูกนำออกแสดงที่ National Gallery ในกรุง London เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ในปี 2011
ในส่วนของความรู้วิทยาศาสตร์ที่ Leonardo นำเสนอไว้ในภาพ คือ ความรู้ด้านทัศนศาสตร์ และวัสดุศาสตร์ของลูกแก้วกลมในมือ เพราะนักวิทยาศาสตร์รู้ดีว่า ทรงกลมที่ทำด้วยแก้ว หรือ calcite หรือ quartz จะทำให้แสงหักเห แต่ในภาพ Salvator Mundi ภาพของเสื้อผ้าที่อยู่หลังลูกแก้วไม่เห็นมีอะไรถูกบิดเบือนเลย
ในการตอบคำถามประเด็นนี้ Martin Kamp ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศิลปะจากมหาวิทยาลัย Oxford ในอังกฤษได้ชี้แจงว่า การที่ภาพของเสื้อผ้าดูไม่บิดเบี้ยว เนื่องจากการหักเหของแสงผ่านลูกแก้วนั้น ไม่ใช่เพราะ Leonardo ไม่รู้ความจริงนี้ แต่การวาดภาพที่ไม่สมบูรณ์ในกรณีที่เกี่ยวกับพระเยซูเป็นเรื่องที่ขัดกับมารยาททางสังคมของผู้คนในสมัยนั้น ซึ่งนิยมความผิดพลาดในภาพวาดว่าไม่จำเป็นต้องถูกต้องตามธรรมชาติ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในยุคของ Leonardo และศิลปินได้ยึดปฏิบัติกันจนอีก 100 ปีต่อมา จนถึงยุคของ Diego Velasquez จิตรกรชาวสเปน ซึ่งได้เริ่มวาดภาพที่เป็นจริงเชิงวิทยาศาสตร์
การเปรียบเทียบสไตล์ของจิตรกรในการวาดภาพ Salvator Mundi กับภาพ Mona Lisa ก็ยิ่งยืนยันชัดว่า จิตรกรเป็นคนๆ เดียวกัน โดยผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะของ Leonardo โดยเฉพาะ คือ Mina Gregori จากมหาวิทยาลัย Florenze ในอิตาลี Sir Nicholas Penny จาก National Gallery of Art ที่ Washington ในสหรัฐอเมริกา และ Martin Kemp จากมหาวิทยาลัย Oxford ในอังกฤษ ซึ่งต่างก็ยืนยันว่าภาพ Salvator Mundi เป็นภาพที่ Leonardo วาดจริงในราวปี 1500 เพราะได้แสดงให้เห็นความสามารถของ Leonardo ด้าน perspective ซึ่งเป็นเทคนิคการวาดภาพในสามมิติ โดยที่พระหัตถ์ซ้ายของพระเยซูซึ่งทรงถือทรงกลมแก้วอยู่ มีความชัดยิ่งกว่าพระพักตร์ เพราะมืออยู่ใกล้คนดูยิ่งกว่าใบหน้า และลูกแก้วที่โปร่งใสนั้น มีฟองอากาศเป็นจุดเล็กๆ อยู่ภายใน จึงสันนิษฐานว่า ทำด้วยผลึก calcite และมิได้เป็นทรงกลมใสสะอาดที่สมบูรณ์
เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.2017 ภาพ Salvator Mundi ถูกนำออกประมูลขายที่สถาบัน Sotheby
สถิติการประมูลภาพของ Leonardo ที่เคยทำไว้คือ ภาพ Horse and Rider ที่ขายได้ในราคา 179.36 ล้านดอลลาร์ในปี 2001
คราวนี้การประมูลเริ่มและจบลงภายในเวลาเพียง 20 นาที ที่ราคา 450 ล้านดอลลาร์ซึ่งได้ขายให้ผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม
อีกหนึ่งเดือนต่อมา หนังสือพิมพ์ The New York Times ได้แถลงข่าวว่า ผู้ซื้อ คือ เจ้าชาย Badr bin Abdullah แห่งราชวงศ์ Saudi Arabia ซึ่งเป็นตัวแทนของเจ้าชาย Mohammed bin Salman ซึ่งเป็นองค์มกุฎราชกุมารแห่ง Saudi Arabia
และเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานี้ เจ้าชาย Badr ทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม
ในวันที่ 18 กันยายนที่จะถึงนี้ ภาพ Mona Lisa ที่เป็นภาพของผู้ชาย (Salvator Mundi) จะถูกนำออกแสดงเป็นครั้งแรกที่พิพิธภัณฑ์ Louvre Abu Dhabi บนเกาะ Saadiyat แห่งเมือง Abu Dhabi ที่ประเทศ United Arab Emirates ให้โลกได้ชื่นชม
อ่านเพิ่มเติมจาก Leonardo da Vinci, the Marvellous Works of Nature and Man โดย Martin Kemp จัดพิมพ์โดย Oxford University Press ปี 1981
เกี่ยวกับผู้เขียน สุทัศน์ ยกส้าน
ประวัติการทำงาน-ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" จาก "ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน" ได้ทุกวันศุกร์