xs
xsm
sm
md
lg

ช้างแอฟริกันกับธุรกิจการพาณิชย์งาช้าง

เผยแพร่:   โดย: สุทัศน์ ยกส้าน

งาช้างที่ตรวจยึดได้ในเบลเยียม (Aris Oikonomou / AFP)
คนไทยมีสำนวนและคำพังเพยมากมายที่เกี่ยวกับช้าง เช่น

“ข่าวช้างดู ข่าวหมูแล่น” ซึ่งหมายถึง ไม่ว่าอะไรนิดอะไรหน่อยเกิดขึ้น ก็จะตื่นไปดูท่าเดียวโดยไม่คำนึงว่า ควรหรือไม่ควร

“ข่าวช้างดู ข่าวหมูแล่น” ซึ่งหมายถึง ไม่ว่าอะไรนิดอะไรหน่อยเกิดขึ้น ก็จะตื่นไปดูท่าเดียวโดยไม่คำนึงว่า ควรหรือไม่ควร

“ขี่ช้างจับตั๊กแตน” หมายถึงกิจกรรมที่ต้องทำเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญ แต่คนที่ทำกลับให้ความสำคัญเกินขนาด จึงเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า

“ขี่ช้างวางขอ” หมายถึงคนขี่ช้าง แต่ไม่ได้ถือขอในมือ จึงใช้สับช้างไม่ได้ เวลาช้างอาละวาด เปรียบเสมือนผู้ใหญ่ที่มีลูกน้องในปกครอง ถ้าปล่อยปละละเลย ไม่มีการว่ากล่าวตักเตือนกันบ้าง ลูกน้องก็อาจสร้างความวุ่นวายได้

“ฆ่าช้างเอางา” หมายถึงการทำลายสิ่งที่มีคุณค่า เพื่อเอาของที่สำคัญเพียงเล็กน้อยมาใช้เป็นประโยชน์ โดยไม่คำนึงว่าที่ทำไปนั้นเป็นเรื่องสมควรหรือไม่ เช่น การทำลายเจดีย์โบราณทั้งองค์ เพื่อค้นหา “ของมีค่า” ที่ฝังอยู่ใต้เจดีย์

“ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่” เพราะช้างดีคือช้างที่มีขนปลายหางเป็นสีขาว และแม่ที่มีนิสัยอย่างไร ลูกสาวก็จะมีพฤติกรรมเช่นนั้น

“ดูช้างให้ดูหน้าหนาว ดูสาวให้ดูหน้าร้อน” เพราะในหน้าหนาว ช้างมักตกมันโดยการแสดงพฤติกรรมห้าว ดุ อย่างเห็นได้ชัด แต่ถ้าจะดูความงามของสาวๆ ก็ให้ดูคุณเธอในหน้าร้อน เพราะในเวลานั้นออเจ้ามักแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าโปร่ง ที่โชว์ส่วนสัดให้เห็นอย่างเต็มตา

“เอาเนื้อหนูไปใส่เนื้อช้าง” เปรียบได้กับการนำของที่มีน้อยไปมอบให้คนอื่นที่มีของแบบเดียวกันในปริมาณมาก จึงเป็นการไม่เหมาะสม เพราะตนเองก็จะมีของน้อยลง ในขณะที่คนรับของก็จะมีของแบบนั้นมากเกิน เช่น การเรี่ยไรเก็บเงินจากคนจนไปมอบให้เศรษฐี

“ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวมาปิด” หมายถึงการกระทำผิดที่ร้ายแรง ถ้าคนทำหรือคนที่อยู่เบื้องหลังการกระทำนั้นพยายามปิดบังสักมากเพียงใดก็ไม่สำเร็จ เพราะถึงอย่างไรทุกคนก็รู้

“ช้างเท้าหน้า” หมายถึงมีความสำคัญ

“เป็นช้างเผือก” หมายถึงคนที่มีความสามารถสูง แต่ใช้ชีวิตอยู่อย่างเร้นลับ เปรียบเสมือนช้างเผือกที่ชอบอยู่ในป่าลึก เมื่อถูกจับมาขึ้นระวางเป็นช้างเผือก ทุกคนก็จะเห็นเป็นที่ประจักษ์ว่ามันเป็นช้างที่ประเสริฐ

และ “ช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า เมียรัก” หมายถึงคนเก่าแก่ ถ้าได้รับความไว้วางใจมากจนเกินไป อาจนำภัยอันตรายมา จนทำให้เกิดความเสียหายได้ เป็นต้น

การมีความหลากหลายของสำนวนที่เกี่ยวกับช้างเช่นนี้ เพราะช้างเป็นสัตว์ที่คนไทยรู้จัก รักและผูกพันมาก จนยกย่องให้เป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของเรานั่นเอง

นักสัตว์วิทยาดึกดำบรรพ์ได้ขุดพบฟอสซิลของช้างซึ่งแสดงว่า ช้างตัวแรกๆ ของโลกถือกำเนิดในยุค Eocene คือเมื่อประมาณ 45 ล้านปีก่อนในแอฟริกา ตัวมีขนาดเล็กเท่าหมูและมีงวง จากถิ่นกำเนิดในแอฟริกา บรรพสัตว์ของช้างได้แพร่พันธุ์และอพยพสู่เอเชีย อเมริกาเหนือกลายเป็นช้าง mammoth ในเวลาต่อมา ช้างได้เดินทางสู่ทวีปอเมริกาใต้ จนถึงยุคน้ำแข็ง ช้าง mammoth ที่มีขนเต็มตัวได้ถูกมนุษย์ยุคหินไล่ล่าฆ่าตายจนสูญพันธุ์ ปัจจุบันโลกมีช้างเหลือเพียงสองพันธุ์เท่านั้น คือ ช้างเอเชีย Elephus maximus และช้างแอฟริกา Loxodonta africanus โดยช้างเอเชียมีพบในอินเดีย ศรีลังกา ไทย และช้างแอฟริกามีพบใน Zimbabwe, Malawi, Senegal, Uganda, Chad, Zaïre กับ Angola

มนุษย์รู้จักใช้ช้างทำงานลากซุงและขนส่งมาตั้งแต่สมัยโบราณ รวมถึงใช้ในการทำศึกด้วย เพราะข้าศึกเพียงแต่เห็นขนาดและงาของมันก็อดรู้สึกสะพรึงกลัวในพละกำลังที่มหาศาลของมันไม่ได้ ดังในยุคของจักรพรรดิ Alexander มหาราชเมื่อพระองค์ทรงยาตราทัพเข้าต่อสู้กองทัพช้างในกษัตริย์ Porus แห่งแคว้นปัญจาบ ที่เมือง Hydaspes ในอินเดีย เมื่อ 326 ปีก่อนคริสต์ศักราช พระองค์ทรงหวั่นพระทัย เมื่อทอดพระเนตรเห็นกองทัพช้าง ครั้นเมื่อองค์จักรพรรดิสิ้นพระชนม์ นายพล Seleacus แห่งอาณาจักร Macedonia ได้นำฝูงช้างมาใช้ในการทำสงครามเป็นประจำ และเมื่อแม่ทัพ Hannibal ยกทัพช้างข้ามเทือกเขา Alps เพื่อบุกอาณาจักรโรมัน นายพลโรมัน Cornelius Scipio ก็อดรู้สึกชื่นชมในความอดทนและแข็งแรงของช้างมิได้

เพราะช้างในอินเดียเป็นสัตว์มีค่าควรเมือง และอินเดียมีประชากรช้างมาก ดังนั้นชาห์ Harun al-Rashid จึงทูลถวายช้างแด่จักรพรรดิ Charlemagne ในปี 801 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวของเราเคยทรงประทานช้างให้ท่านประธานาธิบดี Abraham Lincoln แห่งสหรัฐฯ เป็นของขวัญ แต่ท่านประธานาธิบดีไม่รับ โดยอ้างว่าไม่มีใครในอเมริการู้วิธีเลี้ยงช้างให้รอดชีวิตได้เวลาอากาศหนาว ท่านนายกรัฐมนตรี Jawaharlal Nehru แห่งอินเดียเคยมอบช้างให้เป็นของขวัญแก่ประเทศต่างๆ ที่ไปเยือน โดยให้เลี้ยงในสวนสัตว์

โดยทั่วไปช้างแอฟริกันมีขนาดใหญ่กว่าช้างเอเชีย ตัวผู้ที่โตเต็มที่อาจสูงถึง 4 เมตร และหนัก 7.2 ตัน ส่วนตัวเมียมีขนาดเล็กกว่า และหนักประมาณ 4.5 ตัน ช้างเป็นสัตว์ที่ชอบอยู่เป็นฝูงประกอบด้วยสมาชิกตั้งแต่ 20 ถึง 30 ตัว โดยมีตัวเมียเป็นจ่าฝูง เพราะตัวเมียมีความสุขุมคัมภีรภาพ และระมัดระวังควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่าตัวผู้ จึงสามารถนำฝูงสู่การดำรงชีพที่สงบ และปลอดภัยได้ดีกว่า

ในการใช้ชีวิตในป่า ช้างไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งแน่นอน เพราะเวลาอาหารในป่าร่อยหรอหรือขาดแคลน ช้างจะย้ายถิ่นฐานที่อยู่ มันไม่ชอบอากาศร้อน ดังนั้นในวันที่อุณหภูมิขึ้นสูง ช้างจะหลบแดดเข้าที่ร่ม ช้างชอบทำงานกลางฝน อาหารโปรดเป็นใบไม้ และผลไม้ โดยเฉพาะใบของต้น acacia, baobab, euphobia และ musanga ซึ่งเป็นต้นไม้ที่ไม่ผลัดใบ ช้างสามารถเดินได้เร็วประมาณ 5-6 กิโลเมตร/ชั่วโมง และวิ่งได้เร็ว 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ถ้าวิ่งด้วยความเร็วนี้ ในเวลาไม่นานมันก็จะหมดแรง วันหนึ่งๆ ช้างอาจเดินได้ไกลถึง 80 กิโลเมตรเพื่อหาอาหาร

ใครๆ ก็รู้ว่าช้างเป็นสัตว์ที่มีความทรงจำดีมาก ดังจะเห็นได้จาก เวลามันเดินผ่านบริเวณที่เพื่อนของมันถูกฆ่าตาย มันจะวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ช้างเปล่งเสียงที่มีความถี่ต่ำตั้งแต่ 14-24 เฮิรตซ์เพื่อใช้ในการสื่อสาร ซึ่งเป็นความถี่ที่หูคนไม่สามารถได้ยิน เวลาพร้อมจะสืบพันธุ์มันจะส่งเสียงถึงกันและหลั่งสาร pheromone เพื่อส่งข่าวถึงเพศตรงข้าม โดยตัวเมียจะหลั่งสาร (z)-7 dodecentyle acetate ออกมาในน้ำปัสสาวะ

เมื่ออายุได้ 11-12 ปี ช้างก็พร้อมที่จะสืบพันธุ์ และโตเต็มที่เมื่ออายุ 25 ปี แต่ช้างเป็นสัตว์ที่มีความต้องการเพศต่ำมาก คือจะติดสัดเพียง 2-3 วัน ในระยะเวลา 4-5 ปี โดยจะตั้งครรภ์ในช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน และอุ้มท้องนาน22 เดือนจึงคลอดลูก ลูกช้างที่เกิดใหม่มีน้ำหนักประมาณ 100 กิโลกรัม สูง 60 เซนติเมตร และมีขนเต็มตัว แต่เมื่อเวลาผ่านไปๆ ขนจะร่วงจนหมด ลูกช้างกินอาหารได้ประมาณ 5% ของน้ำหนักตัว ช้างตัวเมียเป็นสัตว์ที่รักลูกมาก ทันทีที่รู้ว่าศัตรูจะมาถึง มันจะส่งสัญญาณบอกลูกช้างทันที ลูกช้างจะอยู่กับแม่ให้แม่ดูแลนานประมาณ 2 ปี แล้วแยกตัวออกไปดำรงชีพอย่างอิสระ นานๆ จึงจะกลับเข้าฝูงครั้งหนึ่ง ช้างอาจมีอายุยืนถึง 70 ปี และเวลาแม่ช้างที่อายุน้อยตาย ช้างตัวเมียตัวอื่นๆ จะรับลูกช้างที่กำพร้าแม่ไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม

คนมักคิดว่า งา เป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดของช้าง แต่สำหรับตัวช้างเอง อวัยวะสำคัญที่สุดของมันคืองวง เพราะถ้างวงพิการ ช้างจะตาย ทั้งนี้เพราะช้างใช้งวงในการหายใจ ดื่มน้ำ ดมกลิ่น และหยิบอาหารเข้าปาก เวลาอาบน้ำช้างจะใช้งวงสูบน้ำเพื่อพ่นใส่หลังเป็นการระบายความร้อน เวลาดมกลิ่นช้างจะทอดงวงดิ่งลงจนปลายอยู่ใกล้พื้น เวลารู้ว่ามีภัยอันตรายจะมาคุกคาม มันจะยกงวงขึ้นเหนือหัวเพื่อสูดดมกลิ่นศัตรูที่โชยมา ตามลม งวงช้างที่แข็งแรงสามารถใช้ยกขอนไม้ที่หนักได้ ช้างสามารถว่ายน้ำได้ดี และเวลาว่ายน้ำ มันจะชูงวงขึ้นเหนือผิวน้ำเพื่อหายใจ ในขณะที่ตัวของมันจมอยู่ใต้ผิวน้ำ

หูเป็นอวัยวะที่โดดเด่นของช้างเพราะมีขนาดใหญ่ แต่มีความสามารถในการได้ยินไม่ดีเท่าหูสัตว์อื่น เวลาตกใจมันจะโบกใบหูไปมา ตาที่มีขนาดเล็กทำให้มันไม่สามารถเห็นภูมิประเทศได้ในมุมกว้าง ดังนั้นคนที่ยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวเลย ช้างอาจไม่เห็นและเหยียบคนๆ นั้นจนตายได้
งาช้างที่ตรวจยึดได้ในเบลเยียม (Aris Oikonomou / AFP)
ขาช้างมีสองส่วน คือ ขาส่วนบนที่ยาว และส่วนล่างที่สั้น จึงเป็นขาที่แตกต่างจากของม้า ซึ่งมีขาส่วนล่างยาว และส่วนบนสั้น ด้วยเหตุนี้มันจึงวิ่งได้ไม่เร็วเหมือนม้า นอกจากนี้ช่วงก้าวเดินของช้าง มักจะยาวไม่เกิน 2 เมตร ดังนั้น ช้างจะข้ามคูที่กว้างเกิน 2 เมตรไม่ได้ เพราะมันกระโดดไม่เป็น และเวลาช้างตกหล่ม มันจะยกตัวเองขึ้นจากหลุมได้ยาก และจะเสียชีวิตในที่สุด

การมีพลังและมีลำตัวใหญ่ ทำให้สัตว์อื่นกลัวและไม่กล้าเข้ามาทำร้ายมัน แต่ถ้าช้างล้มป่วยหรือพิการ สิงโตที่มีขนาดเล็กกว่าก็อาจล้มช้างได้

คนแอฟริกันบางเผ่านิยมฆ่าช้างเป็นอาหาร นอกจากเนื้อที่ใช้เป็นอาหารแล้ว หนังช้างยังใช้ทำเครื่องหนัง ส่วนงาช้างสามารถขายได้ในราคาสูงด้วย และมักใช้ลูกศรที่เคลือบยาพิษยิงมัน หรือใช้วิธีขุดหลุมดัก แล้วเอาใบไม้ปิดปากหลุม เพื่อล่อให้ช้างเดินมาตกหลุม จากนั้นก็ใช้หอกทิ่มแทง ชาว Zaire ชอบใช้หอกที่เคลือบยาพิษพุ่งแทงช้าง เมื่อพิษยาออกฤทธิ์ ช้างจะเดินหนีไปๆ จนหมดแรง แล้วยอมให้พรานฆ่ามันในที่สุด ส่วนชาวยุโรปนั้นนิยมฆ่าช้างโดยใช้ปืนยิง

โดยทั่วไปช้างจะไม่ทำร้ายคนก่อน แต่มันอาจสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้คนได้ เพราะเวลาหิวอาหาร มันจะบุกรุกเหยียบย่ำไร่ข้าวโพดหรือไร่มันฝรั่งของชาวบ้าน เพื่อกินพืชที่มันต้องการ ด้านช้างโทนเป็นช้างที่ชอบความสันโดษ แต่ก็เป็นช้างอันตราย เพราะมีอารมณ์ร้าย ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการเคยถูกคนทำร้าย จึงถูกฝูงขับไล่

เมื่อ 130 ปีก่อน เอเชียมีช้างประมาณ 2 แสนตัว ปัจจุบันมีเหลือเพียง 35,000 ตัว ส่วนช้างแอฟริกันเมื่อ 40 ปีก่อนมี 1.3 ล้านตัว ปัจจุบันมีเหลืออยู่ประมาณ 1 แสนตัว

ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ช้างจำนวนมากถูกฆ่า ทั้งที่ถูกลอบฆ่า และถูกฆ่าอย่างไม่ตั้งใจ เพราะคนใช้งานมันหนักมากไป และเวลามีการล้มช้าง 1 ตัว ผู้ฆ่าจะได้เงินมาก สถิติการซื้อขายงาช้างใน 150 ประเทศทั่วโลกปรากฏว่า 50% ของงาช้างถูกส่งไปขายในจีนและญี่ปุ่น

เพราะช้างถูกล่าเป็นจำนวนมาก ในแต่ละปีและตกลูกน้อย ดังนั้นช้างจึงเป็นสัตว์ที่กำลังจะสูญพันธุ์ ที่โลกจำต้องอนุรักษ์ โดยการห้ามทำธุรกิจค้างา กฎหมายนี้ทำให้ปริมาณการลอบฆ่าช้างลดลง แต่ในเวลาเดียวกันการลอบฆ่าที่น้อยลงได้ ทำให้คนมีงาในปริมาณน้อย ดังนั้นราคางาจะเพิ่ม คนจึงพยายามฆ่าช้างมากขึ้น ปัญหางาช้างจึงเป็นปัญหาโลกแตกอีกปัญหาหนึ่ง

ลุถึงปัจจุบันหลายชาติอ้างว่าการห้ามธุรกิจงาช้างทุกรูปแบบได้ทำให้การลอบฆ่าช้างลดลง จึงเป็นการปกป้องช้างไม่ให้สูญพันธุ์ โดยกลุ่มที่สนับสนุนการห้ามค้างาช้างได้ออกมายืนยันให้เผาทำลายงาช้างที่มีในครอบครองให้หมด เป็นขั้นตอนแรกของการลดความต้องการงาช้าง ซึ่ง Kenya และประเทศอื่นๆ ในแอฟริกาต่างก็เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ ด้านกลุ่มที่ไม่ชอบการถูกห้ามทำธุรกิจก็อ้างเหตุผลว่า การห้ามทำธุรกิจงาช้าง และการเผางาช้าง จะทำให้งาช้างมีราคาเพิ่ม เพราะจะทำให้มันเป็นของหายาก ดังนั้นการทำลายงาจะนำมาซึ่งการลอบฆ่าช้างมากขึ้น

กระนั้นหลายชาติก็มีความเห็นพ้องกันว่า การห้ามทำธุรกรรมค้างาช้าง ใช่ว่าจะทำได้ง่าย เพราะในประเทศที่ไม่มีธรรมมาภิบาล (คือไร้การควบคุม) จะห้ามกระทำไม่ได้เลย ด้วยเหตุผลว่าประเทศด้อยพัฒนาต่างก็ต้องการเงินมาใช้ในการพัฒนาประเทศและอนุรักษ์ช้างด้วย

ในที่ประชุมขององค์การ Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora (CITES) หรือองค์การค้านานาชาติที่ทำธุรกิจการค้าพืชและสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ จึงได้จัดตั้งระบบติดตาม 2 ระบบ คือ ระบบ MIKE กับ ETIS (จากคำเต็ม Monitoring the Illegal Killing of Elephants กับ Elephant Trade Informations ตามลำดับ) เพื่อเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการลอบฆ่าช้าง การเสียชีวิตของช้างและธุรกิจค้างาช้างที่ผิดกฎหมาย เพื่อนำมาใช้เป็นพื้นฐานในการตัดสินใจ

ถึงวันนี้ความขัดแย้งต่างๆ ระหว่างกลุ่มยังคงมีต่อไป โดยยังไม่มีใครเห็นทางออกและ CITES และ CoP (จากคำเต็ม Conference of the Parties) จะจัดให้มีการประชุมครั้งต่อไปในปี 2019 เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดในการอนุรักษ์ช้าง

ในความเป็นจริง การค้างาช้างได้อุบัติในแอฟริกามานานหลายศตวรรษแล้ว โดยเฉพาะในบรรดาประเทศแอฟริกาตะวันออกและตะวันตกเฉียงใต้ ที่มีชื่อเสียงในฐานะประเทศส่งงาช้างออกสู่ประเทศในเอเชียและที่ตั้งเรียงรายรอบทะเล Mediteranean อันได้แก่ เปอร์เซีย อินเดีย และจีน
งาช้างที่ตรวจยึดได้ในเบลเยียม (Aris Oikonomou / AFP)
ครั้นเมื่อเวลาผ่านไปในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ธุรกิจงาช้างก็ยิ่งเติบโต มีตลาดที่ Vietnam และ Hong Kong เพิ่มซึ่งทำให้การซื้อขายงาช้างเกิดขึ้นมาก ลุถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ชาวยุโรปและอเมริกาเหนือเริ่มสนใจงาช้าง และโลกได้ก้าวเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมเต็มตัว ชาวยุโรปได้พบว่า งาช้างสามารถใช้ทำลูกบิลเลียด แป้นเปียโน และด้ามของมีคม ฯลฯ ได้ ธุรกิจได้เติบโตจนเป็นที่เลื่องลือว่าในปี 1891 75% ของธุรกิจงาช้างเริ่มที่ฝั่งตะวันออกของทวีปแอฟริกา และเมื่อคนเอเชียนิยมใช้งาช้างทำเครื่องประดับ ยาและเครื่องใช้ ฮ่องกง เวียดนาม จีน และญี่ปุ่น กลายเป็นศูนย์กลางการค้างาช้างในปัจจุบัน

ในส่วนของคนจีนที่ทำธุรกิจงาช้าง ก็มีรายงานว่า คนจีนรู้จักแกะสลักงาช้างมาตั้งแต่เมื่อ 1600 ปีก่อนคริสตกาล คือตั้งแต่ยุคของกษัตริย์ราชวงศ์ Shang ครั้นเมื่อถึงยุคของราชวงศ์ Zhou ซึ่งเป็นเวลา 1100 ปีก่อนคริสตกาล ธุรกิจนี้ได้นำมาซึ่งความเจริญ เพราะคนจีนมีฐานะดี สามารถซื้ออาหาร ยา เสื้อผ้า ของใช้แพงๆ รวมถึงอาคารได้ แต่ในเวลาเดียวกันธุรกิจนี้ก็ได้ทำให้เกิดผลด้านลบต่อการดำรงชีวิตของช้าง เพราะชาวแอฟริกาที่ฆ่าช้างเอางาไปขายเป็นประโยชน์ส่วนตนมากขึ้น คนที่เข้าไปล่าช้างในป่าก็มากขึ้น จนทำให้ช้างใกล้จะเป็นสัตว์สูญพันธุ์

ในปี 1973 องค์การ Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora หรือ CITES ได้ออกกฎอนุรักษ์และปกป้องพืชกับสัตว์ รวมถึงช้างไม่ให้สูญพันธุ์ และได้ห้ามการค้างาช้างตั้งแต่ปี 1989

ด้านจีนซึ่งได้เข้าร่วมกับนานาชาติในการทำสัญญานี้ ก็กำลังพยายามสร้างความตระหนักให้คนจีนมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่ว่า ช้างกำลังจะสูญพันธุ์ และสภาพแวดล้อมของโลกกำลังเสื่อมลงๆ ดังนั้นคนจีนจะต้องอนุรักษ์สัตว์เหล่านี้ และห้ามซื้อ-ขายงาช้าง

อ่านเพิ่มเติมจาก African Elephant Reports 2016: An Update from the African Database โดย C.R. Thouless และคณะ ปี 2016

เกี่ยวกับผู้เขียน สุทัศน์ ยกส้าน

ประวัติการทำงาน-ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" จาก "ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน" ได้ทุกวันศุกร์


กำลังโหลดความคิดเห็น