แม้คนส่วนใหญ่ไม่เคยเผชิญเสือตัวเป็นๆ ในป่า แต่เราก็มีสำนวนเกี่ยวกับเสือมากมาย เช่น “เขียนเสือให้วัวกลัว” เพราะรู้ว่าวัวกลัวเสือ ดังนั้นเวลาจะขู่ใครให้กลัว จึงเอาธรรมชาติของเสือกับวัวมาเปรียบ “ใจดีสู้เสือ” ซึ่งหมายความว่า ทำใจให้เป็นปกติ ยามต้องเผชิญสิ่งที่น่ากลัว และ “ชาติเสือต้องไว้ลาย ชาติชายต้องไว้ชื่อ” เพราะลายเป็นสิ่งสำแดงความเป็นเสือ ดังนั้นชายใดทีเก่งกล้าสามารถก็ต้องทำกิจกรรมให้คู่ควรกับความเก่งนั้น สำหรับ “ชาติเสือไม่ทิ้งลาย” นั้นหมายความว่า คนที่มีสันดานชั่ว ตามปกติจะไม่ทิ้งนิสัยนั้น “น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า” เป็นสำนวนที่หมายความว่า คนเราต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน ในทำนองเดียวกับ “ป่าพึ่งเสือ และเรือพึ่งพาย” ส่วน “เนื้อเข้าปากเสือ” หมายความว่า กำลังตกอยู่ในภาวะอันตราย ที่มีแต่จะตายกับตาย อย่างไม่มีทางรอดได้
ทั้งๆ ที่เป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ในยุค Pleistocene ซึ่งได้ถือกำเนิดเมื่อประมาณ 1.5 ล้านปีก่อน สัตว์กินเนื้อชนิดนี้ก็ได้ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของโลกที่ได้เปลี่ยนไปๆ และมีขนาด รูปแบบและลวดลายของขนและรูปลักษณ์ของกะโหลกศีรษะที่แตกต่างกัน
ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 19 ป่าเอเชียมีเสือชุกชุม และหลากหลายสายพันธุ์ เช่น เสืออินเดีย (Panthera Tigris Tigris) ซึ่งอยู่ในป่าทางทิศตะวันตกของอินเดีย เสือสุมาตรา (Panthera Tigris Sumatra) เสือชะวา (Panthera Tigris Sondaica) ซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้ว เสือบาหลี (Panthera Tigris Balica) ในเกาะสุมาตรา เสือจีน (Panthera Tigris Amoyensis) ในจีน และเสืออินโดจีน (Panthera Tigris Corbetti) ที่อยู่ในป่าระหว่างพม่า ไทย ลาว และกัมพูชา
ในมุมมองของคน เสือเป็นสัตว์ทรงพลังที่ปราดเปรียว ว่องไว และน่าสะพรึงกลัว เพราะตัวผู้ที่โตเต็มที่จะมีขนสวย มีฟันและเขี้ยวซี่โตสีขาว ดวงตามีแววอำมหิต แต่ในความเป็นจริงเสือไม่ได้เกิดมาเพื่อจะกินคนเป็นอาหาร มันกลัวคนด้วยซ้ำไป ครั้นเมื่อคนบุกรุกป่า และเข้าไปล่าอาหารของเสือ เช่น กวาง และหมูป่า ฯลฯ การตัดไม้ทำลายป่าซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของมัน ทำให้เสือต้องอพยพหาที่อยู่ใหม่ เมื่อพื้นที่ป่ามีน้อยลงๆ ความหิวโหยบังคับให้มันต้องหันมากินสัตว์ที่คนเลี้ยง เช่น วัว ควาย ซึ่งมีผลทำให้คนผูกใจเจ็บ และคิดล่ามัน ซึ่งอาจจะใช้วิธีจับเป็นหรือจับตาย เช่น เอาสัตว์มาล่อในกรงให้มันตามเหยื่อเข้าไป แล้วเหยียบกระเดื่องปลดสลักให้ประตูกรงปิด นี่เป็นการจับเป็น ส่วนวิธีจับตายนั้นนอกจากจะใช้วิธียิงระยะไกลแล้ว พรานอาจใช้ไม้ไผ่เหลาปลายให้แหลมนำเสียบไว้เต็มแผงไม้ เมื่อเสือเดินผ่านและเท้าเตะแผง “หอก” แหลมจะตกแทงเสือจนบาดเจ็บหรือตาย หรือพรานอาจใช้กับดักที่ทำด้วยโลหะ ซึ่งจะงับขาเสือจนมันดิ้นไม่หลุด และหนีไม่ได้ จากนั้นก็เป็นเรื่องของการสำเร็จโทษ โดยการยิงที่ศีรษะอย่างเผาขน ซึ่งจะทำให้มันส่งเสียงร้องอย่างโหยหวนเป็นครั้งสุดท้ายไปก้องป่า
ในประเด็นของการเป็นเหยื่อมนุษย์นั้น ก็เพราะสังคมโบราณ (และคนบางคนในสังคมปัจจุบัน) มีความเชื่อว่า การบริโภคชิ้นส่วนต่างๆ ของเสือให้อะไรที่มากกว่าอาหาร เช่น ถ้าได้กินสมองเสือจะทำให้คนกินไม่ขี้เกียจ เลือดเสือจะทำให้ร่างกายมีพลังเพิ่มทั้งกายและใจ เนื้อเสือสามารถรักษาโรคมาลาเรีย และเพิ่มกำลังวังชา กระดูกเสือสามารถรักษาโรคไขข้ออักเสบ ขนเสือที่ถูกเผาสามารถขับไล่ตะขาบพิษ หางเสือใช้รักษาโรคผิวหนัง กระเพาะเสือรักษาอาการท้องเสีย น้ำดีเสือใช้รักษาอาการชักของเด็ก หนวดเสือใช้ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายไม่ให้กร้ำกราย ฟันเสือใช้รักษาโรคพิษสุนัขบ้า และเป็นวัตถุมงคล ลูกตาเสือใช้รักษาโรคลมชักในผู้ใหญ่ และอัณฑะเสือใช้รักษาวัณโรคได้ พูดง่ายๆ คือ ทุกองคาพยพของเสือสามารถช่วยให้คนกินมีสุขภาพดีขึ้น เพราะพลังที่มีในเสือจะถูกส่งต่อมายังผู้กิน
นอกเหนือจากนี้การนำหนังเสือ และกะโหลกเสือมาประดับตามผนังห้องรับแขกในบ้าน เพื่ออวดความเป็น “ผู้ยิ่งใหญ่” แล้ว เจ้าของบ้านยังบอกเป็นนัยยะกับคนที่มาเยือนว่า ถ้าไม่เกรงกลัว กะโหลกศีรษะของแขกก็อาจถูกนำมาเป็นเครื่องประดับบ้านก็ได้ หรือเวลาลูกบ้านทะเลาะวิวาทกัน หัวหน้าหมู่บ้านอาจบังคับให้คู่กรณีนำมากัดฟันเสือ และให้คำสาบานว่า ถ้าใครโกหก คนๆ นั้นจะถูกเสือฆ่า
แม้บางความเชื่อที่เหลวไหลเหล่านี้จะเลือนหายและถูกยกเลิกไปมากแล้ว แต่ในพื้นที่ลึกป่า Hukawng ของพม่า มีชาวบ้านเผ่า Naga ที่นับถือผีและวิญญาณอย่างฝังจิตฝังใจว่า เวลาใครฆ่าเสือได้ พรานจะนำท่อนไม้เข้าไปง้างปากเสือไว้ เพื่อไม่ให้เสือตัวนั้นไปบอกปีศาจว่าคนฆ่ามันคือใคร ส่วนใบหูของเสือก็จะถูกเย็บให้ปิดสนิท เพื่อป้องกันไม่ให้มันได้ยินเสียงญาติที่มาเรียกหา สำหรับหมอดูของเผ่าผู้สามารถสื่อสารกับวิญญาณได้ ชาวบ้านก็เชื่อว่าชาติก่อนเคยเป็นเสือ ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า ความผูกพันระหว่างคนป่าเหล่านี้ และเสือได้ใกล้ชิดกันมากจนเวลาเสือถูกทำร้ายหรือถูกฆ่า หมอดูจะมีอาการเหมือนเสือที่ถูกทำร้าย จนอาจตายตามเสือในอีก 2-3 วันต่อมา
ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ทางตอนใต้ของพม่ามีเสือเป็นจำนวนมาก ในระหว่างปี 1933 – 1936 รัฐบาลพม่ามีสถิติว่าเสือถูกฆ่าอย่างน้อย 1,100 ตัว แต่อีก 30 ปีต่อมาความขัดแย้งภายในประเทศระหว่างชนชาติพันธุ์ต่างๆ เริ่มมีมากจนการควบคุมการล่าเสือเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และจำนวนประชากรเสือได้ลดลงมาก กระนั้นพม่าก็ยังมีเสือเป็นจำนวนมากอันดับสองรองจากอินเดีย นอกจากนี้เจ้าหน้าที่อนุรักษ์เสือก็ยังต่อสู้กับชาวบ้านที่ยากจนซึ่งลอบฆ่าเสือเพื่อนำชิ้นส่วนต่างๆ ไปขายให้พ่อค้าชาวจีนต่อไป เพราะเชื่อตำรับยาจีน “Pen Tsao Kang Mu” ที่แพทย์ชื่อ Li Shih Chen ได้เขียนในยุคราชวงศ์ Ming (ปี 1368 - 1644) ว่า
กระดูกเสือที่ได้จากเสือตัวผู้คือสุดยอดของยารักษาโรคของชาวจีน เพราะถ้าได้นำชิ้นส่วนมาตำให้แหลกละเอียด แล้วเอาไขกระดูกออก เมื่อนำมาละลายน้ำและดื่มจะรักษาอาการกลัว โรคกระเพาะเป็นแผล โรคปวดไขข้อ กล้ามเนื้อ ปวดท้อง โรคท้องร่วง มาลาเรีย และโรคพิษสุนัขบ้าได้ และถ้ามีการนำกระดูกไปวางบนหลังคาบ้าน ปีศาจจะไม่มาใกล้กรายคนในบ้าน อีกทั้งคนในบ้านจะปราศจากการฝันร้าย น้ำที่ต้มด้วยกระดูกเสือถ้านำมาอาบจะทำให้เท้าไม่บวม เด็กเกิดใหม่ถ้าได้อาบน้ำที่ต้มกระดูกเสือจะไม่เป็นโรคหิด และผีจะไม่เข้าสิง เป็นต้น
เพราะกระดูกเสือมี “ค่า” มาก ดังนั้นกระดูกเสือทั้งชุดอาจมีค่ามากถึง 30,000 บาท และกระดูกแต่ละชิ้นจะมีราคาน้อยกว่า เพราะตำรายาจีนระบุว่า ทุกคนจะมีสุขภาพดี ถ้าได้กินกระดูกเสือ 10-15 กรัมทุกวัน การคิดเลขอย่างง่ายๆ แสดงว่า ถ้าคนจีน 1,000 ล้านคนเชื่อตามนี้ เสือจะสูญพันธุ์ภายในเวลา 3 วัน
ณ วันนี้สัตว์ตระกูลเสือมี 7 สปีชีส์ในทวีปทั้ง 5 ของโลก ได้แก่ เสือลายพาดกลอน (tiger), สิงโต, เสือจากัวร์ (jaguar), เสือดาวหรือเสือดำ (leopard), เสือดาวหิมะ (snow leopard) เสือชีตาร์ (cheetah) และเสือพูมาร์ (puma) โดยทุกสปีชีส์กำลังตกอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ โดยเฉพาะเสือลายพาดกลอน ซึ่งอยู่ในกลุ่มที่มีโอกาสสูญพันธุ์ได้มากที่สุด
จีนเป็นประเทศหนึ่งที่มีความมุ่งมั่นจะอนุรักษ์เสืออย่างจริงจังจึงได้จัดสร้างป่าสงวนสำหรับเสือ ในบริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ที่มีภูเขา Changbaishan ป่านี้อยู่ติดพรมแดนระหว่างจีน รัสเซีย กับเกาหลีเหนือ มีพื้นที่ 15,000 ตารางกิโลเมตรเป็นถิ่นอาศัยของเสือดาว Amur กับเสือไซบีเรียซึ่งเป็นเสือที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตัวผู้ที่โตเต็มที่อาจหนักถึง 300 กิโลกรัม เพราะเสือทั้งสองสปีชีส์นี้ถูกคุกคามโดยการถูกลอบฆ่า และป่าที่อยู่อาศัยของมันกำลังถูกทำลายไปตลอดเวลา
ในการสร้างป่าเพื่อพิทักษ์เสือ ทางรัฐบาลจีนได้ให้คำมั่นสัญญากับประชาชนในพื้นที่ว่า การมีป่าอนุรักษ์เสือจะไม่ทำให้เศรษฐกิจของชุมชนจะได้รับผลกระทบมาก คนที่มีอาชีพตัดไม้ในป่าไปขายจะได้รับความช่วยเหลือด้วยการจัดหางานใหม่ให้ทำ
ในส่วนของคนที่ได้รับผลกระทบด้านอาชีพนั้นทางการจีนก็ได้ให้ความสำคัญ เพราะความสำเร็จที่ยั่งยืนของป่าขึ้นกับคนเหล่านี้ ดังนั้นทางการจึงกำหนดให้คนที่ได้รับผลกระทบ ต้องหาเลี้ยงชีพด้วยวิธีใหม่ เช่น เสาะหาน้ำผึ้งป่ามาขาย และเลี้ยงผึ้งเป็นอาชีพ เป็นต้น
ทางการได้คาดว่า จะให้คนทั้งหมดที่ได้รับผลกระทบจำนวน 30,000 คน เป็นผู้คุ้มครองป่าร่วมกันในอนาคต
เพราะป่าอนุรักษ์เสือส่วนใหญ่จะอยู่ในมณฑล Jilan กับ Heilongjiang ในปี 2013 รัฐบาลจีนจึงได้ออกกฎหมายห้ามใครตัดไม้ในป่าอย่างเด็ดขาดในบริเวณสองมณฑลนี้ รวมถึงได้ยกเลิกการตัดถนนผ่านป่า และจัดเส้นทางเดินรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมต่อระหว่างจีนกับเมือง Vladivostok ของรัสเซียใหม่หมด อีกทั้งยังได้กำหนดให้มีตำรวจในพื้นที่ทำหน้าที่จัดการทำลายกับดักสัตว์จำนวน 80,000 ชิ้นที่นักลอบฆ่าสัตว์ใช้ในการจับกวางและหมูป่าให้หมดสิ้น
ในปี 2002 ซึ่งเป็นปีที่แทบไม่มีใครได้เห็นเสือเลย แต่เมื่อถึงปี 2014 คนในพื้นที่ได้เริ่มเห็นรอยเท้าของเสือบ้าง เห็นรอยข่วนของเล็บเสือตามลำต้นไม้ และเห็นซากของเหยื่อเสือ ในปี 2016 การติดตั้งกล้องถ่ายภาพวงจรปิดได้ยืนยันว่า ป่าที่ Huangnike ได้กลายเป็นถิ่นอาศัยของเสือไซบีเรียไปเรียบร้อย
สำหรับเมืองเล็กๆ ที่อยู่ชายป่าก็ถูกปรับสภาพเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงนิเวศ มีพิพิธภัณฑ์ที่แสดงผลงานด้านการอนุรักษ์ป่า รวมถึงภาพของเสือดาว Amur ที่ชอบออกมาอาบแดดบนเนินเขาใกล้เมืองให้ทุกคนเห็น
ในอินเดียซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่ของเสือจำนวนมากที่สุดในโลกก็กำลังประสบปัญหาเสือถูกลอบสังหารมากเช่นกัน จากที่เคยมีมากถึง 100,000 ตัวในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ปัจจุบันมีเสือเหลืออยู่ประมาณ 1,500 ตัวเท่านั้นเอง นักชีววิทยาคิดว่าถ้าจำนวนลดลงต่ำกว่า 500 เสือก็จะกลายเป็นสัตว์ที่กำลังจะสูญพันธุ์ เพราะสืบพันธุ์กันเองและไม่สามารถดำรงพันธุ์ได้อย่างมีคุณภาพอีกต่อไป จากการที่ป่าที่เสืออยู่ก็ได้ลดพื้นที่ลงเหลือเพียง 40% ของพื้นที่เดิม
นักอนุรักษ์เสือของสมาคม Wildlife Protection Society of India เชื่อว่า สาเหตุหลักของการที่จำนวนเสือลดลง เพราะถูกลอบฆ่าอย่างผิดกฎหมาย และพ่อค้าชาวจีนที่มั่งคั่งที่ต้องการหนังเสือไปประดับบ้าน กระดูกเสือเป็นยาโดยนำไปผสมในเหล้าเพื่อรักษาโรคไขข้อและอัมพฤกษ์ รวมถึงอวัยวะเพศของเสือเป็นยาโป๊ว และฟันเสือเป็นเครื่องประดับ โดยชาวจีนจะมากว้านซื้ออวัยวะส่วนต่างๆ ของเสือที่วางขายใน Tibet และให้ราคางามจนทำให้ธุรกรรมลอบฆ่าเสือรุ่งเรือง แต่ในเวลาเดียวกันสมาคมอนุรักษ์เสือก็โทษรัฐบาลอินเดียว่า ไม่มีประสิทธิภาพในการอนุรักษ์ ทั้งๆ ที่รัฐบาลมีโครงการ Project Tiger ซึ่งได้ดำเนินการมาร่วม 40 ปีแล้ว ทั้งนี้เพราะโครงการขาดกำลังคนจะดูแลป่า และขาดเงินสนับสนุนในการบริหาร
ในปี 2005 อินเดียจึงได้จัดตั้งหน่วย Tiger Task Force ขึ้นมาเสริม และได้จัดหาความสะดวกสบายให้ชาวบ้านในป่าสงวนมีอาหารอาชีพ และให้เด็กๆ ของชาวบ้านมีการศึกษา เพราะคนยากจนเหล่านี้ต้องมีสวัสดิการพื้นฐานอย่างพอเพียงก่อน เขาจึงจะช่วยปกป้องเสือได้ เพราะถ้าไม่มีปัจจัยพื้นฐานดังกล่าว ชาวป่าอาจช่วยพวกลอบฆ่าเสือก็ได้ เวลาได้รับสินบน
ผลที่ตามมาจากโครงการนี้คือที่ป่าสงวน Tadoba-Andhari Tiger Reserve จำนวนเสือในป่าได้เพิ่มขึ้น แต่ที่ป่าอื่นๆ เสืออาจสูญพันธุ์ไปแล้วก็ได้
เมื่อเร็วๆ นี้ James Cheshire และ Oliver Uberti ได้เรียบเรียงหนังสือชื่อ “Where the Animals Go” ซึ่งจัดพิมพ์โดย Norton ในปี 2017 และมีเนื้อหาเกี่ยวกับวิธีการแกะรอยสัตว์โดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีข้อมูล
ผู้ประพันธ์ทั้งสองมิได้เป็นนักชีววิทยาหรือนักเทคโนโลยีข้อมูล แต่เป็นนักภูมิศาสตร์ที่สนใจการอพยพย้ายถิ่น และพฤติกรรมของสัตว์ทั้งในอากาศ บนบก และในน้ำ เพราะตระหนักว่าข้อมูลที่ได้จะเพิ่มพูนองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ โดยเทคโนโลยีที่ใช้ในการแกะรอยมีทั้งการใช้ปลอกสวมติดที่สัตว์ ซึ่งส่งคลื่นความถี่สูงมากออกมา แล้วใช้ระบบ Global System for Mobile communications (GSM) ซึ่งประกอบด้วยอุปกรณ์ติดต่อเคลื่อนที่ได้ ระบบโทรศัพท์มือถือโยงที่จะข้อมูลไปยัง Google Earth ให้ทำแผนที่ของการอพยพของสัตว์โดยมีบริษัท Vulcan ที่เมือง Seattle ในอเมริกาซึ่งมีความประสงค์จะอนุรักษ์สัตว์ที่กำลังสูญพันธุ์เครือข่ายนี้ ทำให้โลกได้เห็นสภาพของช้างใน Kenya เวลาถูกยิงและส่งเสียงร้องออกมาอย่างโหยหวนก่อนตาย เห็นเส้นทางการเคลื่อนที่ของเต่าทะเลในการอพยพข้ามมหาสมุทร Atlantic โดยการว่ายทวนกระแสน้ำ เห็นเส้นทางการหาอาหารของวาฬ orga นอกฝั่งของประเทศ Iceland และของนกเค้าแมวในรัฐ Ontario ของ Canada รวมถึงเส้นทางการว่ายน้ำของฉลามจากแอฟริกาใต้ไปออสเตรเลียด้วย
ข้อมูลเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องมีเพื่อวางนโยบายการอนุรักษ์สัตว์ได้อย่างถูกต้อง
เกี่ยวกับผู้เขียน สุทัศน์ ยกส้าน
ประวัติการทำงาน-ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" จาก "ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน" ได้ทุกวันศุกร์


