xs
xsm
sm
md
lg

นวัตกรรมระดับดีมากดินน้ำมันจากข้าว ห้ามเลือดในกระดูกระหว่างผ่าตัด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ผงคาร์โบไฮเดรตจากข้าวเจ้าไทยให้เป็นวัสดุทางการแพทย์คล้ายดินน้ำมันสำหรับอุดห้ามเลือดที่กระดูกมนุษย์ (ข้าวดิน)
ถ้าเลือดออกทางผิวหนังเราสามารถอุดห้ามเลือดได้ไม่ยาก แต่เลือดที่ออกในกระดูกนั้นไม่สามารถห้ามเลือดกันได้ง่ายๆ และเมื่อต้องผ่าตัดกระดูกก็จะมีเลือดไหลออกตามรูพรุนของกระดูก เราจึงต้องใช้วัสดุห้ามเลือด ซึ่งวิธีดั้งเดิมนั้นจะใช้ขี้ผึ้งผสมน้ำมันไปอุกที่กระดูก แต่ข้อเสียของขี้ผึ้งคือเป็นโมเลกุลที่มีน้ำหนักใหญ่ เมื่อเข้ามาอยู่ในร่างกายมนุษย์จะย่อยสลายไม่ได้เพราะเป็นวัสดุเฉื่อยไม่เกิดปฏิกิริยา แต่อาจเป็นสาเหตุของการติดเชื้อ หรือมีโอกาสให้เลือดหลุดไหลออกไปสร้างความเสียหายต่ออวัยวะข้างเคียงได้ จนทำให้ผู้ป่วยมีอันตรายถึงชีวิตได้

ข้างต้นเป็นเหตุผลให้ รศ.ดร.นพ.สิทธิพร บุณยนิตย์ รอกรรมการที่ปรึกษาและนักวิจัย บริษัท บุณยนิตย์วัสดุแพทย์ พัฒนาผงคาร์โบไฮเดรตจากข้าวเจ้าไทยให้เป็นวัสดุทางการแพทย์คล้ายดินน้ำมันสำหรับอุดห้ามเลือดที่กระดูกมนุษย์ หรือเรียกสั้นๆ ว่า “ข้าวดิน” ซึ่งเป็นวัสดุทางการแพทย์สำหรับอุดห้ามเลือดที่กระดูกมนุษย์ในขณะผ่าตัด

"เดิมเวลาเลือดไหลที่กระดูกมันก็จะเหมือนน้ำไหลออกจากขวด ซึ่งเราจะกดปากขวดไว้ไม่ได้ เพราะเลือดที่ออกจากระดูกจะมีลักษณะคล้ายๆ เวลาเราหักขนมปัง เราจะเห็นรูพรุนภายในขนมปัง ส่วนกระดูกเมื่อหักหรือเวลาผ่าตัดเปิดกะโหลกคนไข้ เลือดที่ไหลออกมาจากกระดูกก็จะไหลออกมาตามรูพรุนในกระดูก ซึ่งเลือดที่ไหลออกมานี้จะหยุดไหลเองไม่ได้" รศ.ดร.นพ.สิทธิพรอธิบาย

ดังนั้น เราจึงต้องใช้วัสดุเข้าไปอุดห้ามเลือดไว้ และรอให้กระดูกซ่อมแซมตัวเองในการประสานเข้าหากันอีกครั้ง ต่างจากการฉีดขาดหลอดเลือดที่ใต้ผิวหนังที่ร่างกายจะมีกระบวนการแข็งตัวของเลือด (Blood clotting) เพื่อป้องกันการสูญเลือดจากร่างกาย

ทีมวิจัยได้แนวคิดทำวัสดุอุดห้ามเลือดที่สามารถย่อยสลายได้ และต้องการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ข้าวด้วย จึงใช้ข้าวพัฒนาเป็นวัสดุทางการแพทย์คล้ายดินน้ำมันสำหรับอุดห้ามเลือดที่กระดูกมนุษย์ และเพื่อให้ทำงานได้จึงทำออกมาให้มีลักษณะคล้ายดินน้ำมัน โดยนำข้าวไปผสมกับกลีเซอรัลเหลว ซึ่งวัสดุทางการแพทย์ชิ้นนี้สามารถนำไปอุดห้ามเลือดและย่อยสลายเองได้ภายใน 3 สัปดาห์

"เหตุที่ต้องเป็นข้าวเพราะผมเป็นคนไทยจึงอยากจะใช้ทรัพยากรของคนไทย และข้าวเป็นทรัพยากรของประเทศไทยแต่มีการขายในราคาที่ต่ำที่สุดของห่วงโซ่มูลค่า แต่ทางทางวิทยาศาสตร์ข้าวคือคาร์โบไฮเดรต เป็นกลูโคสซึ่งมีหมูไฮดรอกซิลที่สามารถย่อยสลายได้ มีโครงสร้าง มีสารเคมีมีหลายๆ อย่างที่เหมาะสมกับการนำมาใช้ผลิตเป็นวัสดุทางการแพทย์"

สำหรับข้าวที่ใช้นั้นเป็นข้าวหัก ซึ่งในการสีข้าวจะเกิดข้าวหักซึ่งไม่เหมาะบริโภคประมาณ 40% โดยปกติแล้วจะนำไปทำเป็นข้าวนก ซึ่งมีบริษัทของคนไทยวิจัยเรื่องข้าวโดยเฉพาะ และได้นำข้าวหักไปแปรรูป โดยการปั่นเหวี่ยง สกัดโปรตีน สกัดสิ่งปนเปื้อนออก จนกระทั่งเหลือเฉพาะคาร์โบไฮเดรตบริสุทธิ์ ซึ่งนำไปผลิตเป็นส่วนผสมเม็ดยารับประทาน โดยมีราคาขายที่กิโลกรัมละ 150 บาท ถูกกว่าคาร์โบไฮเดรตบริสุทธิ์นำเข้าที่มีราคากิโลกรัมละ 3,000 บาท

“ทีมวิจัยจึงได้ใช้คาร์โบไฮเดรตบริสุทธิ์นี้เป็นสารเริ่มต้น เอามาทำให้ข้าวให้อยู่ในรูปของดินน้ำมัน ตามโครงสร้างเนื้อสัมผัสที่ต้องการ ข้าวที่นำมาใช้เป็นข้าวพันธุ์ใดก็ได้ เพราะตามหลักการแล้วเราเรียกว่าข้าวขาวหรือข้าวสาร ซึ่ง 80% ของข้าวเป็นคาร์โบไฮเดรต ในทางวิทยาศาสตร์ในเมล็ดข้าวจะมีสิ่งแปลกปลอมที่สำคัญนั้นคือโปรตีนอยู่ประมาณ 7% พร้อมทั้งมีไขมันและน้ำตาล แต่สิ่งที่เราใช้นั้นคือคาร์โบไฮเดรต" รศ.ดร.นพ.สิทธิพรกล่าว

ทีมวิจัยจึงนำเมล็ดข้าวสารไปตากแห้ง ปั่นและบดละเอียดและปั่นเหวี่ยงในตัวกลาง ดังนั้นโปรตีน ไขมันและสิ่งอื่นนอกเหนือจากคาร์โบไฮเดรตก็จะถูกแยกออกไป คาร์โบไฮเดรตที่เหลืออยู่คือโครงสร้างของกลูโคสที่ต่อกันเป็นโซ่ตรง เมื่อกลูโคสที่ต่อพันธะกันแบบโซ่ตรงย่อยสลาย จะกลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

"งานวิจัยชิ้นนี้มีความร่วมมือกับนักวิจัยและนักศึกษาทั้งภาคฟิสิกส์ ภาคเคมี ทันตแพทย์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นส่วนใหญ่ ส่วนระยะเวลาในการทำงานวิจัย ต้องใช้เวลาทำอย่างน้อย 3 ปีเป็นอย่างต่ำ คือต้องมีการวิจัยเชิงห้องปฏิบัติการและเขียนรายงาน อย่างน้อยประมาณ 1 ปี วิจัยในสัตว์ทดลองและเขียนรายงานการทดลอง 1 ปี และนำมาวิจัยในมนาย์ประมาณ 1 ปี" รศ.ดร.นพ.สิทธิพรกล่าว

ผลงานวิจัยนี้ใช้เวลาทำประมาณ 10 ปี โดยนับผลงานจากงานวิจัยนี้ว่าเป็นเครื่องมือแพทย์ เพราะมีการออกฤทธิ์เฉพาะที่ ไม่เหมือนกับยาที่เมื่อเข้าไปสู่ร่างกายแล้วจะไปออกฤทธิ์ในพื้นที่ๆ ห่างไกล และปัจจุบัน รศ.ดร.นพ.สิทธิพรได้นำผลงานวิจัยชิ้นนี้ไปทดลองที่โรงพยาบาลต่างๆ ที่ภาคเหนือเป็นส่วนใหญ่ โดยให้แพทย์ทั่วไปได้ทดลองใช้

"ความต่างของวัสดุทางการแพทย์ที่ใช้อุดห้ามเลือดที่กระดูกมนุษย์ คือวัสดุที่เรียกว่า โบนแวกซ์ (Bone wax) นั้นมีโมเลกุลขนาดใหญ่มาก เนื่องจากตัวขี้ผึ้งเป็นไขมันซึ่งมีขนาดใหญ่มาก เมื่อเข้าไปอยู่ในร่างกายมนุษย์จะแป็นวัตถุที่ไม่ทำปฏิกิริยากับร่างกาย แต่จะไม่สามารถย่อยสลายได้ กระบวนการผลิตโบนแวกซ์เป็นกระบวนการเชิงสังเคราะห์ สร้างมลภาวะให้แก่โลก" รศ.ดร.นพ.สิทธิพรกล่าว

ส่วน “ข้าวดิน" นั้้น รศ.ดร.นพ.สิทธิพร ระบุว่าใช้ข้าวผสมกับสารอินทรีย์ที่มีอยู่ในธรรมชาติล้วนๆ ข้าวเป็นสิ่งที่ย่อยสลายได้ เมื่ออยู่ในร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งที่ย่อยสลายได้ อีกทั้งในการผลิตจะใช้กระบวนการเชิงเทคโนโลยีสีเขียว คือไม่มีกระบวนการที่ก่อให้เกิดมลภาวะ เป็นกระบวนการอย่างง่ายพร้อมกับใช้ความร้อนต่ำ ไม่ก่อให้เกิดมลพิษทั้งจากกระบวนการผลิตและกระบวนการกำจัด

"อุปสรรคของงานวิจัยชิ้นนี้อยู่ที่เรื่องเวลา เพราะต้องใช้เวลาในการทำวิจัยนานมีการลองผิดลองถูก และข้าวเป็นสารที่ชอบน้ำ ทำให้ชื้นได้ง่าย มีความอ่อนแอ เมื่อทำให้แห้งข้าวจะมีความแข็งและเปราะ ทางทีมวิจัยจึงต้องทำให้ข้าวอยู่ในรูปแบบของดินน้ำมัน โดยการใช้สารเติมแต่งอย่างกลีเซอรัล เพราะไม่มีความเป็นพิษต่อร่างกาย แต่ถ้าใช้สารที่ราคาแพงเกินไปจะต้นทุนก็จะแพง ดังนั้น จึงต้องใช้สารที่ถูก ดีและมีความปลอดภัยเพื่อให้มีราคาที่สมเหตุสมผลสำหรับคนไทย ถ้ามีการผลิตออกสู่ตลาดคิดว่าจะตั้งราคาไว้ที่ 250 บาท" รศ.ดร.นพ.สิทธิพรระบุ

ตอนนี้ทีมวิจัยได้จดสิทธิบัตรและจดทะเบียนสินค้าเป็นสินค้าของประเทศไทย และทางองค์การอาหารและยาก็ยอมรับแล้วว่าใช้ได้ มีการเขียนรายงานและทำการจำหน่ายเผยแพร่ให้แก่โรงพยาบาลต่างๆ ในประเทศไทย และจะขายให้ประเทศต่างๆ ในอาเซียนและทั่วโลกในอนาคต อีกทั้งผลงานวิจัยชิ้นนี้ยังได้รับรางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้น ประจำปี 2561 รางวัลระดับดีมาก สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ จากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
Bone wax ขี้ผึ้งสำหรับอุดห้ามเลือดที่กระดูกมนุษย์
(ซ้าย) นาย วรางกูร บุณยนิตย์ (ขวา) รศ.ดร.นพ.สิทธิพร บุณยนิตย์


กำลังโหลดความคิดเห็น