ในวันที่ 13-14 ธันวาคม 2560 นี้จะเกิดปรากฏการณ์ฝนดาวตกเจมินิดส์ หรือฝนดาวตกกลุ่มดาวคนคู่ สำหรับประเทศไทยในปีนี้ คืนที่น่าจะมีอัตราการตกสูงสุดตรงกับวันที่ 14 ธันวาคม 2560 นอกจากนั้นในคืนดังกล่าวตรงกับช่วงข้างแรม 11 ค่ำ ทำให้เกือบตลอดทั้งคืนจะไม่มีแสงดวงจันทร์รบกวน ถือเป็นโอกาสดีที่เราจะสามารถถ่ายภาพปรากฏการณ์ฝนดาวตกได้ทั้งคืน
ในการถ่ายภาพสามารถเริ่มตั้งกล้อง ตั้งแต่เวลา 20.30 น. ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จุดศูนย์กลางการกระจายอยู่บริเวณกลุ่มดาวคนคู่ คืนวันที่ 14 ธันวาคม จนถึงรุ่งเช้าของวันที่ 15 ธันวาคม มีอัตราการตกสูงสุดเฉลี่ยถึง 120 ดวงต่อชั่วโมง
ฝนดาวตกเจมินิดส์ หรือฝนดาวตกกลุ่มดาวคนคู่ เกิดจาก?
ปรากฏการณ์ฝนดาวตกเจมินิดส์เกิดจากการที่โลกเคลื่อนที่เข้าตัดกับกระแสธารของเศษหินและเศษฝุ่นขนาดน้อยใหญ่ที่ดาวเคราะห์น้อย 3200 เฟธอน (3200 Phaethon) ทิ้งไว้ในขณะที่เคลื่อนผ่านเข้ามาในระบบสุริยะชั้นใน เมื่อโลกโคจรผ่านเส้นทางดังกล่าว ทำให้สายธารของเศษหินและฝุ่นของดาวเคราะห์น้อย ถูกแรงดึงดูดของโลกดึงเข้ามาเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศของโลกเกิดเป็นลำแสงวาบ หรือในบางครั้งเกิดเป็น ลูกไฟที่มีสีสวยงาม (fireball)
ฝนดาวตกแตกต่างจากดาวตกทั่วไป คือ เป็นดาวตกที่ มีทิศทางพุ่งมาจากจุดๆ หนึ่งบนท้องฟ้า เรียกว่า จุดศูนย์กลางการกระจาย (Radiant) เมื่อจุดศูนย์กลางการกระจายตรงหรือใกล้เคียงกับกลุ่มดาวอะไร ก็จะเรียกชื่อฝนดาวตกตามกลุ่มดาวนั้นๆ หรือ ดาวที่อยู่ใกล้กลุ่มดาวนั้น
ช่วงเวลาในการสังเกตการณ์ที่ดีที่สุด?
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือหลังเที่ยงคืน เพราะเป็นเวลาที่ชีกโลกที่เราอยู่จะรับดาวตกที่พุ่งเข้ามาแบบตรงๆ ซึ่งช่วงเวลาที่ดาวตกเกิดก่อนเที่ยงคืนหรือช่วงหัวค่ำนั้นจะเป็นช่วงที่ดาวตกวิ่งสวนทางการหมุนรอบตัวเองของโลก เราจะเห็นดาวตกมีความเร็วสูง แต่ถ้าฝนดาวตกที่เกิดหลังเที่ยงคืนไปแล้วหรือในเวลาใกล้รุ่ง จะเป็นช่วงที่ดาวตกวิ่งตามทิศทางการหมุนของโลก เราจึงเห็นดาวตกที่อยู่ในช่วงเวลาใกล้รุ่งนั้นวิ่งช้า
เตรียมตัวถ่ายภาพกันอย่างไรบ้าง
สำหรับการเตรียมตัวถ่ายภาพนั้น จากข้อมูลข้างต้นจริงๆแล้วเราสามารถเริ่มถ่ายภาพปรากฏการณ์ได้ตั้งแต่คืนวันที่ 13 ธันวาคม หรือจะรอถ่ายในคืนวันที่ 14 ธันวาคม ก็ได้ แต่ส่วนตัวผมแนะนำถ่ายทั้ง 2 คืนจะดี่ที่สุด เผื่อท้องฟ้าคืนใดคืนหนึ่งไม่เป็นใจ
รูปแบบการถ่ายภาพนั้น ขออนุญาตแบ่งเป็น 3 รูปแบบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่ใช้ในการถ่ายภาพ ซึ่งมีรายละเอียดของการถ่ายภาพแต่ละรูปแบบต่อไปนี้
การถ่ายภาพด้วยอุปกรณ์ตามดาว
การถ่ายภาพด้วยอุปกรณ์ตามดาวนั้น ปัจจุบันเป็นที่นิยมของนักถ่ายภาพจำนวนมาก โดยการหันหน้ากล้องไปยังทิศทางการกระจายตัว (Radiant) เนื่องจากเป็นการถ่ายภาพตรงบริเวณศูนย์กลางการเกิดฝนดาวตกตลอดเวลา ทำให้มีโอกาสได้ภาพดาวตกจำนวนมากๆ และเมื่อนำภาพที่ถ่ายได้ทั้งคืนมารวมกัน Stacking ก็จะได้ภาพที่มีฝนดาวตกพุ่งออกจากศูนย์กลางบริเวณกลุ่มดาวคนคู่อย่างชัดเจน (รายละเอียดตามลิงก์ : https://goo.gl/yDP8TT)
อุปกรณ์ที่จำเป็น : กล้องถ่ายภาพ สายลั่นชัตเตอร์ ขาตั้งกล้องแบบตามดาว
การถ่ายภาพทางทิศเหนือ
การถ่ายภาพโดยการหันหน้ากล้องไปทางทิศเหนือ ซึ่งศูนย์กลางการกระจายตัวของฝนดาวตกนั้น อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้สามารถถ่ายภาพด้วยวิธีนี้ได้เช่นกัน ซึ่งการถ่ายภาพรูปแบบนี้ก็ใช้เทคนิคการถ่ายภาพดาวหมุนหรือการถ่ายภาพเส้นแสงดาว โดยแนะนำให้ใช้เลนส์มุมกว้างจะมีโอกาสที่จะได้ภาพฝนดาวตก
อุปกรณ์ที่จำเป็น : กล้องถ่ายภาพ สายลั่นชัตเตอร์ ขาตั้งกล้อง
การถ่ายภาพทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
การถ่ายภาพทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หรือทางทิศที่กลุ่มดาวเคลื่อนที่ไปบนท้องฟ้า วิธีนี้อาจต้องอาศัยโชคช่วย แต่หากได้ภาพฝนดาวตกก็จะได้ภาพที่สวยเลยทีเดียว สำหรับวิธีนี้อาจไม่นิยมในการถ่ายภาพมากนัก เนื่องจากมีโอกาสที่จะไม่ได้ภาพ หรือต้องคอยเปลี่ยนมุมในการถ่ายภาพเรื่อยๆ ตามการเคลื่อนที่ของกลุ่มดาวคนคู่นั่นเอง
อุปกรณ์ที่จำเป็น : กล้องถ่ายภาพ สายลั่นชัตเตอร์ ขาตั้งกล้อง
เทคนิคการถ่ายภาพสำหรับผู้เริ่มต้นถ่ายภาพ
สำหรับเทคนิคและวิธีการที่จะแนะนำ ซึ่งถือเป็นเทคนิคที่นักดาราศาสตร์ใช้กันทั่วๆไป มีรายละเอียดดังนี้
1. ถ่ายภาพด้วยเลนส์มุมกว้าง เพื่อให้สามารถเก็บเส้นฝนดาวตกได้มากที่สุด
2. ถ่ายภาพแบบต่อเนื่อง ด้วยวิธีเดียวกับการถ่ายภาพเส้นแสงดาว
3. ใช้ค่าความไวแสง ISO ที่สูงมากๆ เพื่อให้กล้องไวแสงมากที่สุดขณะเกิดดาวตก เช่น ISO 3200 หรือมากกว่า
4. ปิดระบบ long exposure noise reduction เพื่อให้กล้องถ่ายภาพแบบต่อเนื่อง
5. หันหน้ากล้องไปที่จุดศูนย์กลางการกระจายตัวของฝนดาวตก หรือจุดเรเดียนท์ (Radiant) โดยให้จุดเรเดียนท์ อยู่กลางภาพ
6. ตั้งกล้องบนขาตั้งกล้อง หรืออาจใช้ขาแบบตามดาว เพราะดาวตกจะพุ่งออกจากบริเวณจุดเรเดียนท์ ด้วยวิธีนี้จะทำให้เราได้ภาพฝนดาวตกออกมาจากจุดเรเดียนท์จริงๆ และที่สำคัญคือ เราจะได้ภาพฝนดาวตกมากกว่าการถ่ายภาพบนขาตั้งแบบนิ่งอยู่กับที่ เพราะตำแหน่งจุดเรเดียนท์ จะเคลื่อนที่เปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆ
7. ถ่ายแบบต่อเนื่อง อย่างน้อย 3-4 ชั่วโมง โดยใช้ค่าการเปิดหน้ากล้องประมาณ 30 วินาที ต่อ 1 ภาพ หรือใช้สูตร Rule of 400/600 ในการคำนวณเวลาการเปิดหน้ากล้อง
8. ช่วงเที่ยงคืน คือช่วงเวลาที่ดีที่สุด เพราะเป็นเวลาที่ชีกโลกที่เราอยู่จะรับดาวตกที่พุ่งเข้ามาแบบตรงๆ
9. อยากได้ดาวตกยาวๆ ต้องหลังเที่ยงคืนไปแล้วหรือในเวลาใกล้รุ่ง จะเป็นช่วงที่ดาวตกวิ่งตามทิศทางการหมุนของโลก จึงทำให้เห็นดาวตกวิ่งช้า
10. สุดท้ายนำภาพถ่ายฝนดาวตกจากหลายร้อยภาพมาเลือกเฉพาะที่ติดดาวตกมารวมกันใน Photoshop ก็จะทำให้เห็นการกระจายตัวของฝนดาวตกได้อย่างชัดเจน
อุปกรณ์จำเป็นพื้นฐานที่ควรมีไว้
1. เลนส์มุมกว้าง
2. แถบความร้อน
แถบความร้อน คืออุปกรณ์ไล่ฝ้าหน้า ซึ่งถือเป็นอุปกรณ์ที่นักถ่ายภาพควรนำมาพันติดไว้หน้ากล้อง เพื่อป้องกันไอน้ำที่อาจเกิดขึ้นได้ เนื่องจากการถ่ายภาพตลอดทั้งคืนที่อาจมีความชื้นในอากาศสูง ซึ่งส่งผลต่อภาพถ่าย
(สามารถสร้างเองได้ รายละเอียดตามลิงก์ : https://goo.gl/j4KV2x)
เกี่ยวกับผู้เขียน
ศุภฤกษ์ คฤหานนท์
สำเร็จการศึกษาครุศาสตรบัณฑิต สาขาฟิสิกส์ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ และครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาเทคโนโลยีและการสื่อสาร จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
ปัจจุบันเป็นหัวหน้างานบริการวิชาการทางดาราศาสตร์ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สดร., เคยทำวิจัยเรื่อง การทดสอบค่าทัศนวิสัยท้องฟ้าบริเวณสถานที่ก่อสร้างหอดูดาวแห่งชาติ มีประสบการณ์ในฐานะวิทยากรอบรมการดูดาวเบื้องต้น และเป็นวิทยากรสอนการถ่ายภาพดาราศาสตร์ในโครงการประกวดภาพถ่ายดาราศาสตร์ ประจำปี 2554 ของ สดร.ในหัวข้อ “มหัศจรรย์ภาพถ่ายดาราศาสตร์ในเมืองไทย”
“คุณค่าของภาพถ่ายนั้นไม่เพียงแต่ให้ความงามด้านศิลปะ แต่ทุกภาพยังสามารถอธิบายด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ได้อีกด้วย”
อ่านบทความ "มหัศจรรย์ภาพถ่ายดาราศาสตร์" โดย ศุภฤกษ์ คฤหานนท์ ทุกวันจันทร์ที่ 1 และ 3 ของเดือน