มองมิติใหม่ฝ่าความเหลื่อมล้ำทางการวิจัยให้ “คนชายขอบ” ถ้ายังมอง “คนชายขอบ” เป็นปัญหาและเราต้องช่วยอยู่ตลอด ก็จะทำให้ “คนชายขอบ” เป็น “คนชายขอบ” ไปตลอด เสียงสจากเวทีวิพากษ์ร่างยุทธศาสตร์การวิจัยด้านคนชายขอบจึงเสนอให้สังคมเปลี่ยนมุมมอง และก้าวข้ามสู่มิติใหม่ที่คนชายขอบจะกลายเป็นพลังในการสร้างสรรค์สังคม
สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดประชุมวิพากษ์(ร่าง)ยุทธศาสตร์การวิจัยรายประเด็นด้านคนชายขอบ เมื่อวันที่ 14 ก.ย.60 ณ โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ จ.เชียงใหม่ เพื่อระดมสมองและเปิดรับฟังความคิดเห็นในการจัดทำร่างยุทธศาสตร์การวิจัยรายประเด็นด้านคนชายขอบ โดยภายในงานมีผู้เข้าร่วมประมาณ 120 คน ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ นักวิจัย ผู้แทนจากหน่วยงานราชการและเอกชน และผู้เกี่ยวข้อง โดย ศ.สุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เป็นประธานเปิดการประชุม และได้กล่าวระหว่างเปิดประชุมในตอนหนึ่งว่า บางครั้งนโยบายก็เป็นตัวผลักดันให้เกิดคนชายขอบ
ทั้งนี้ ก่อนการประชุมวิพากษ์ร่างยุทธศาสตร์นั้น มีเวทีเสวนาวิชาการเรื่อง “ฝ่าข้ามความเหลื่อมล้ำทางการวิจัยให้แก่คนชายขอบ” ซึ่งมี ศ.เกียรติคุณ ดร.อานันท์ กาญจนพันธุ์ อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัย , พะตีจอนิ โอโดเชา ปราชญ์ชนเผ่าปกาเกอะญอ, นายกระสินธุ์ เจริญกุล กองมาตรฐานการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และนายสมบูรณ์ อัพภาสกิจ ผู้ประสานงานอาวุโส ฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ร่วมเสวนา
ทั้งนี้ก่อนจะเริ่มวิพากษ์ร่างยุทธศาสตร์นั้น ศ.เกียรติคุณ ดร.อานันท์ ได้ให้ความหมายของคนชายขอบคือความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ซึ่งคนชายขอบเป็นคนที่ถูกกีดกันออกไปจากอำนาจและสิทธิต่างๆ สำหรับคนทั่วไปอาจจะคิดว่าต้องช่วยให้คนชายขอบมีสิทธิมากขึ้น ทำให้เห็นเขาเหล่านั้นชัดมากขึ้น แต่หากเราคิดแค่นี้ก็ยากที่จะฝ่าข้ามความเหลื่อมล้ำ เพราะในสังคมที่เราอยู่อย่างพหุวัฒนธรรม ที่คนอยู่ร่วมกันหลากหลายวัฒนธรรม เราต้องอยู่บนพื้นฐานความเสมอภาค ไม่ใช่พยายามช่วยคนที่มีน้อยกว่า
อย่างไรก็ตาม ศ.เกียรติคุณ ดร.อานันท์กล่าวว่า แนวคิดเกี่ยวกับคนชายขอบที่คนมีมากกว่าให้คนที่มีน้อยกว่านั้นมีอยู่ทุกสังคม โดยเฉพาะสังคมไทยที่มองประเด็นช่วยเหลือคนชายขอบเท่ากับทำบุญ แต่แนวคิดแบบนี้ไม่ใช่การแก้ปัญหา หากคิดเช่นนี้จะไม่สามารถฝ่าข้ามความเหลื่อมล้ำไปได้ หากยังทำแบบนี้ก็จะทำให้คนชายขอบยังคงเป็นคนชายขอบสังคมที่ดีควรเสมอภาค ไม่ใช่รักษาความเหลื่อมล้ำ และการทำวิจัยเพื่อก้าวข้ามนี้ต้องทำวิจัยเพื่อหาคำตอบ ไม่ใช่วิจัยในสิ่งที่มีคำตอบอยู่แล้ว งานวิจัยคือทำเรื่องที่เราไม่รู้และเราอยากรู้ คำถามคือเราจะทำอย่างไรเพื่อให้ได้คำตอบในสิ่งที่เราไม่รู้
“ถ้าเราอยากก้าวข้ามความเหลื่อมล้ำก็ต้องเข้าใจหลักคิดหลายตัว ต้องมองว่าคนชายขอบไม่ใช่ปัญหา แต่จะทำอย่างไรให้คนชายขอบเป็นพลังบวก ช่วยสร้างสรรสังคม ไม่ใช่มองว่าเขาอ่อนแอ มองเป็นลบ ซึ่งงานวิจัยต้องหาพลังด้านบวกของคนชายขอบ” ศ.เกียรติคุณ ดร.อานันท์กล่าว พร้อมยกตัวอย่างเรื่องป่าชุมชน ซึ่ง 40 ปีที่ผ่านมาเขาได้เข้าไปสัมผัสชีวิตชาวดอย และทำให้เห็นว่าจริงๆ แล้วเรามองผิดในเรื่องชาวเขาตัดไม้ทำลายป่า ถ้ามองให้ดีจะเห็นว่าเขาช่วยในการรักษาป่าจากการมีส่วนร่วมในการจัดการ แต่ 40-50 ปีที่ผ่านมาเราก็มองเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
อีกประเด็นที่ ศ.เกียรติคุณ ดร.อานันท์ฝากไว้คือเรื่องแนวคิดเกี่ยวกับพลเมือง ซึ่งปัจจุบันที่เราอยู่ในโลกไร้พรมแดนนั้นความหมายของพลเมืองนั้นต้องยืดหยุ่น พลเมืองนั้นเป็นได้ทั้งพลเมืองทางเศรษฐกิจ พลเมืองทางวัฒนธรรม และพลเมืองทางการศึกษา แต่เรากลับคิดได้แค่พลเมืองทางกฎหมายและการเมือง ซึ่งทำให้เราเดือดร้อนเมื่อแรงงานข้ามชาติอพยพกละบบ้านในช่วงที่ผ่านมา หรืออีกมุมหนึ่งกรณีของลูกหลานของแรงงานข้ามชาติที่เกิดและโตในเมืองไทยนั้น มีผลการศึกษาที่ดีกว่าลูกหลานคนไทย หากเราไม่นับเด็กเหล่านั้นเป็นพลเมืองด้วย ในอนาคตเราจะมีแต่พลเมืองไร้คุณภาพที่เรียนไม่เก่ง แทนที่จะได้ใช้ประโยชน์จากกลุ่มคนที่จะช่วยสร้างสรรค์สังคม
หลังจากนั้น ศ.เกียรติคุณ ดร.อานันท์ยังให้ความเห็นแก่ทีมข่าวผู้จัดการวิทยาศาสตร์เพิ่มเติมว่า เทคโนโลยีด้านการสื่อสารจะช่วยกระจายแนวคิดนี้เกี่ยวกับคนชายขอบออกไปได้ การสื่อสารมีส่วนสำคัญมาก เพราะประเด็นที่สำคัญที่สุดคือความไม่เข้าใจของสังคม เขามักมองเป็นเรื่องไกลจากความสนใจ ทำอย่างไรจะทำให้เขามองเป็นเรื่องสำคัญของสังคมว่าเราจะอยู่ร่วมกันบนพื้นฐานของความเป็นธรรม มนุษย์สามารถเท่าเทียมกันในสังคมประชาธิปไตยอย่างไร หากเรามองคนชายขอบเป็นคนชายขอบอยู่ร่ำไป เขาก็จะไม่เป็นประเด็นหลักของสังคม ตรงนี้ต้องการเทคโนโลยีการสื่อสารเพื่อให้เป็นประเด็นศูนย์กลางของสังคมมากเลย ทำอย่างไรจะทำให้มองว่า “คนเเป็นคน”
“40 ปีที่ผ่านมาทำไมมุมมองเกี่ยวกับคนชายขอบไม่เปลี่ยนแปลง เพราะสังคมไทยเพิ่งจะเริ่มเป็นรัฐชาติ เราก็ให้ความสำคัญกับความเป็นไทย ให้ความสำคัญต่อแนวคิดชาตินิยมเพื่อสร้างชาติ แต่สร้างชาติกันมา 100 ปีแล้ว เรายังจะสร้างกันอยู่นั่น เราให้ความสำคัญกับชาติไทย ทำให้เราหลงลืมคนอื่น ลืมไปว่าตอนนี้เราได้เข้าสู่สังคมไร้พรมแดน เราค้าขายกับคนทั่วไป เราอยู่ตนเดียวไม่ได้ เราต้องการคนานจากที่ต่างๆ และคนทุกคนมีส่วนช่วยสร้างสรรค์สังคมไทย แต่เรามองไม่เห็นเลย เพราะเราติดอยู่ในมายาคติของความเป็นชาตินิยมคนมองไม่เห็น เหมือนเส้นผมบังภูเขา ตรงนี้จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีการสื่อสารช่วยให้คนเริ่มตระหนักว่า ถ้าเราจะเคลื่อนสังคมไปในอนาคต เราอยู่คนเดียวไม่ได้ อย่างสังคมอเมริกาเขาอยู่ได้เพราะเขาเป็นเบ้าหลอมคนต่างๆ ปัญญาจะไม่เกิดถ้าเราอยู่คนเดียว”
ทั้งนี้ กว่าที่สัคมจะเข้าใจเรื่องคนชายขอบที่มากกว่าเรื่องของคนที่มีน้อยกว่า และคนที่มีมากกว่าต้องเป็นผู้ให้นั้น ศ.เกียรติคุณ ดร.อานันท์ ให้ความเห็นว่า เราต้องการสื่อสารที่กว้างขวาง ให้สังคมรับรู้ โดยงานวิจัยก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ต้องเป็นงานวิจัยขนาดใหญ่ ซึ่งยุทธศาสตร์การวิจัยจะช่วยยกประเด็นให้ใหญ่ขึ้น และการสื่อสารก็ไม่ใช่เพียงการสื่อสารกระแสหลัก แต่ต้องเป็นการสื่อสารทุกระดับ ตรงนี้ก็ต้องวิจัยคิดค้นให้เป็นไปได้ ให้ความรู้เหล่านี้สื่อสารออกไปได้
“ประเด็นคนชายขอบนี้มีความสำคัญต่อคนทั่วไปมาก เพราะเราต้องการเขา อย่างเอาคนมาทำงานที่บ้านเราแต่เรามองเขาเป็นปัญหา เพราะเรามองเขาเป็นคนชายขอบ ไม่มองเขาเป็นคน เราก็จะให้เขาแบบคนชายขอบ กดขี่ค่าแรง ทำไมไม่มองเขาเป็นเพื่อน เป็นคนร่วมชาติ เมื่อมองไม่เห็นเขาเป็นคนก็จะเกิดความตึงเครียด งานก็ไม่ดี ได้งานไม่มีคุณภาพ นายกเทศมนตรีลอนดอนเป็นคนปากีสถาน แสดงว่าเขามองคนที่ความสามารถ มีศักยภาพ เขาก็ให้โอกาสได้หมด ซึ่งเราก็ต้องให้ความสำคัญต่อความรู้ และดึงคนที่มีปัญญามาร่วมสร้างสรรค์สังคม ไม่ใช่กีดกัน ซึ่ง(การกีดกัน)ทำให้สังคมไทยอ่อนแอเพราะเราไม่มีปัญญา ไม่มีความรู้ เนื่องคนปัญญาคนที่รู้มีไม่กี่คน ไม่เอาความรู้หลากหลายมาบูรณาการ หลักการคือต้องบูรณาการ อยู่ร่วมกันบนความหลากหลาย ไม่ใช่อยู่คนเดียว มาคนเดียว ซึ่งความคิดแบบนี้ครอบงำสังคมมานานมาก” ศ.เกียรติคุณ ดร.อานันท์กล่าว
สำหรับการวิพากษ์ร่างยุทธศาสตร์การวิจัยรายประเด็นด้านคนชายขอบในครั้งนี้ ได้แบ่งการประชุมเป็น 3 กลุ่มย่อย คือ กลุ่มคนชายขอบในมิติสังคม กลุ่มคนชาสขอบในมิติเชิงพื้นที่ และกลุ่มคนชายขอบในมิติของคนที่ไม่ใช่พลเมืองไทย