เม็ดเหงื่อที่ผุดไหลออกมาจากผิวหนังบ่งบอกได้ถึงอุณหภูมิรอบกาย แม้เครื่องปรับอากาศในรถที่กำลังวิ่งจะส่งเสียงดังจากการทำงานเต็มประสิทธิภาพแต่แทบจะไม่บรรเทาคลายความระอุร้อนของบรรยากาศรอบตัวลงไปได้ระหว่างที่รถเคลื่อนที่ไปแผงเหล็กกำแพงของพื้นที่ก่อสร้างก็ผ่านตาไปแผงแล้วแผงเล่า โครงเสาปูนเสริมเหล็กเส้นรับน้ำหนักอาคารขนาดใหญ่ต้นแล้วต้นเล่า เครนยกของสูงใหญ่ตัวแล้วตัวเล่า รถขนส่งปูนคันแล้วคันเล่า คนงานก่อสร้างมากมายที่ก้มหน้าก้มตาทำงานอันเหมือนจะไม่มีวันจบสิ้นผ่านตาไปไม่ขาดสาย ขัดแย้งสวนทางกับสีเขียวของใบและจำนวนต้นไม้ที่ถดถอยลงไปเรื่อยๆ ตามระยะทางที่แล่นผ่าน
ความคิดผุดแล่นเข้ามาเมื่อรถยนต์ที่นั่งอยู่วิ่งผ่านโครงสร้างอาคารแห่งหนึ่ง ขนาดตัวอาคารแม้จะยังสร้างไม่เสร็จก็อนุมานเอาตามความคิดตัวเองได้ว่ามโหฬารอลังการยิ่งใหญ่และต้องมีค่าราคาสูงลิบเสียดฟ้าแบบที่ชีวิตผมเองแม้แต่คิดคงยังไม่กล้าฝัน แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งแสดงให้เห็นถึงการต่อต้านปฏิปักษ์ต่อสภาพสิ่งแวดล้อมรอบตัวที่อาศัยอยู่และพยายามอย่างยิ่งในการปรับเพื่อให้เหมาะสมเกินไกลแก่ความต้องการของตนเอง ดังกับการแสดงความหยิ่งยโสโอหังในชาติเผ่าชนิดพันธุ์ที่ยกตัวเอาเองว่าใหญ่ยิ่งคับโลกใบเล็กๆ นี้
ต่อมเหงื่อใต้ผิวหนังคงทำงานของมันอย่างไม่มีอาการอิดออด เครื่องปรับอากาศถูกปรับเร่งให้ทำงานหนักขึ้นไปอีกเพื่อปรับอุณหภูมิในรถให้เย็นลงอย่างไม่มีข้อโต้แย้งผมเองก็ไม่ต่างจากคนอื่นๆ ทั่วไป ความร้อนที่กำลังสัมผัสทำให้ความคิดหวนกลับไปคิดถึงห้วงเวลาหน้าร้อนเมื่อปีที่แล้ว หวนไปคำนึงถึงผืนป่า ผืนป่าที่มีต้นไม้รกทึบสลับกับทุ่งหญ้าตามธรรมชาติ ผืนป่าใหญ่ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันออก อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก
ขณะนั้นสิ่งที่เพิ่มเติมมากกว่าความร้อนของแสงแดดเวลาเที่ยงวันที่ตกส่องลงมากลางหัวเกิดเป็นเงาตัวที่พาดไปบนใบหญ้าแห้งสีน้ำตาลสูงท่วมตัวแล้วนั้น น้ำหนักกระเป๋าหลังใส่สัมภาระที่เหมือนจะเพิ่มขึ้นเองตามจำนวนก้าวเดิน อีกไหนจะอาการแสบซ่านตามผิวหนังจากใบหญ้ารูดผ่านที่ช่างทรมานสังขารชีวิตและจิตใจในช่วงเวลานั้นเหลือเกิน แต่เมื่อเดินผ่านจากดงหญ้าสูงเข้าแนวเชื่อมสู่ป่าที่มีต้นไม้เท่านั้น กอหญ้าที่หายไป ความชื้นที่เริ่มชุ่มและร่มเงาจากไม้ต้นเปลี่ยนบรรยากาศระอุร้อนรอบตัวให้รู้สึกสบายขึ้นอย่างที่ไม่ต้องพึ่งหลักทางวิทยาศาสตร์ใดใดในการวัดค่า อีกถ้าจุดแวะพักนั้นมีลำธารน้ำไหลผ่านด้วยแล้วจะเรียกได้ว่าสมาชิกในคณะวิจัยจะมีความสุขประดุจขึ้นสวรรค์
ความเย็นสบายบางๆ ที่เกิดขึ้นในความรู้สึกจากการหวนนึกถึงสัมผัสกลางดงไม้ต้องชะงักขาดลงจากสิ่งที่สังเกตเห็นผ่านกระจกหน้า นกน้ำขนาดเล็กสองตัวที่มีปากสั้น ๆ สีแดงสดปลายปากเหลือง ขนคลุมตัวสีดำสนิท ขายืดนิ้วเท้ายื่นยาวกำลังเดินย่ำก้ม ๆ เงย ๆ หากินอยู่บนแผงกอจอกเหนือผิวน้ำ “นกอีล้ำ” ผมคิด
รถที่นั่งอยู่ถูกจอดดับเครื่องนิ่งแนบริมทางฟุตบาท ผมคว้ากล้องถ่ายภาพติดมือก้าวออกจากรถและเดินใกล้เข้าไปอย่างช้าๆ ไม่เร่งรีบเพราะไม่อยากให้นกทั้งสองตัวนั้นตกใจหนี หวังแค่เพียงเพื่อถ่ายภาพเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำ แต่เมื่อแสงผ่านชิ้นเลนส์สะท้อนกระจกมองภาพของกล้องเข้ามาสู่ดวงตาของผมก็ต้องแปลกใจแต่ความแปลกใจนั้นระคนไปด้วยความลิงโลดตื่นเต้นสดชื่นน่ายินดีและทำให้ความรู้สึกในใจของผมกลับมาชุ่มชื่นอีกครั้งหนึ่ง
นกน้อยๆ ตัวฟูด้วยขนอุยสีดำหนาสามสี่ตัวกำลังเดินมุดลอดแข้งขาวนขวาพันซ้ายนกอีล้ำทั้งสองตัวนั้นไปมา
“ลูกนกอีล้ำ” น่ารักน่าชัง
เสียงม่านชัตเตอร์ของกล้องถ่ายรูปทำงานดังไม่ขาดสาย ภาพมากมายถูกบันทึกลงแผ่นความจำอิเล็คทรอนิก มากเสียจนนกอีล้ำสองตัวนั้น (ที่ผมทึกทักเอาเองว่าเป็นนกตัวพ่อและแม่) เริ่มเอะระแวงใจสงสัย มันค่อยๆ เดินเนิบช้าเข้าไปสู่ดงผักตบชวาและร้องเรียกเจ้านกตัวน้อยๆ เหล่านั้นที่ยังคงวิ่งเล่นกันอยู่หลบตามเข้าไปด้วยวิสัยของสัตว์ป่าผู้เคลือบแคลงและไม่ไว้ใจในสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังตั้งฉากกับผืนแผ่นดิน
นกตัวเต็มวัยตัวใดตัวหนึ่งในสองตัวนั้นชะโงกหัวออกมาตรวจดูความเป็นไปรอบๆ ตัวก่อนจะผลุบหลบเข้าไปดังเดิม ผมยังคงยืนมองอยู่หวังเผื่อว่านกฝูงน้อยนี้จะโผล่ออกมาหากินให้เห็นอีก น่าเสียดายความร้อนจากแดดที่พาดลงสู่ร่างกายเหลือเกินจะทนทาน ผมหันหลังกลับเข้ารถเพื่อเดินทางต่อไปยังจุดหมายในเย็นวันนั้น นำพาร่างกายที่อ่อนล้าเหนื่อยเพลียไปสู่สถานที่หลบพักพิงเช่นกัน
รถยนต์เคลื่อนผ่านสถานที่ก่อสร้างอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้งตลอดช่วงการเดินทาง
ภาพนกตัวน้อยที่เดินวิ่งหากินหลบซ่อนและไล่ตามนกตัวเต็มวัยเหล่านั้นยังคงอยู่ในภาพจำ
ต้องขอบคุณความช่ำชุ่มใจที่เพิ่งได้รับมานั้นที่ช่วยเติมเพิ่มแรงใจในการดำเนินชีวิตต่อไปในสังคม สังคมอันอนุมานเอาด้วยความรู้สึกส่วนตัวว่ามันออกจะบิดเบี้ยวแปลกประหลาดคล้ายจะส่อสะท้อนออกมาจากจิตใจของคนที่ดำรงอาศัยอยู่
นกตัวน้อยเหล่านั้นช่างดูไร้คุณค่าความสำคัญต่อผู้ส่วนใหญ่ในสังคม ก็เป็นเพียงแค่นกดังเช่นเหล่านกทั่วๆ ไปที่ไม่มีสำคัญกว่าอะไรในชีวิตของพวกเขาและสถานที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่
สถานที่ที่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ได้แต่เป็นตัวก่อปัญหาสร้างความรำคาญ ความรกชัฏของพืชพรรณคือหายนะ ต้นไม้เหมือนไม่มีค่าและผืนป่าเหมือนไร้คุณราคา
แต่ไม่ใช่กับตัวและใจของผม
เกี่ยวกับผู้เขียน
จองื้อที
แต่เดิมเป็นเด็กต่างจังหวัดจากภาคตะวันออก มุ่งมั่นเข้ามาศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ด้วยความสนใจส่วนตัวและถูกชักชวน จึงเลือกเข้าศึกษาในภาควิชาชีววิทยาป่าไม้ สาขาวิทยาศาสตร์สัตว์ป่าและทุ่งหญ้า ซึ่งระหว่างนั้นก็ได้มีโอกาสช่วยเก็บข้อมูลงานวิจัยสัตว์ป่าในหลายพื้นที่ หลังจากสำเร็จการศึกษาได้รับคำแนะนำให้ไปศึกษาต่อยังสถาบันอื่น จึงได้เข้ามาศึกษาต่อ ณ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในระดับปริญญาโทต่อมาถึงในระดับปริญญาเอก และยังคงมีสถานภาพเป็นนิสิตอยู่ในปัจจุบันขณะ
"เราพยายามเรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย เพื่อที่สุดท้ายแล้วเราจะได้รู้ว่า แท้จริงแล้งเราไม่ได้รู้อะไรเลย"
พบกับบทความ “จองื้อที” ได้ทุกวันที่ 1 และ 16 ของเดือน