ในช่วงนี้นอกจากการตามล่าถ่ายภาพทางช้างเผือกที่เป็นที่ชื่นชอบและนิยมถ่ายภาพกันแล้ว ผมก็อยากจะแนะนำใหัลองถ่ายภาพเส้นแสงดาวกันดูบ้าง เนื่องจากในช่วงนี้อากาศมักจะแห้ง หรือมีความชื่นในอากาศน้อย ทำให้เราสามารถถ่ายภาพในเวลากลางคืนโดยที่กล้องถ่ายภาพของเราไม่มีไอน้ำเกาะบริเวณหน้าเลนส์ ซึ่งจะทำให้เราสามารถถ่ายภาพได้ตลอดทั้งคืนโดยทีไม่มีฝ้าขึ้นหน้ากล้อง ซึ่งจะทำให้เราสามารถถ่ายภาพเส้นแสงดาวได้ยาวมากๆ นั่นเองครับ
ภาพเส้นแสงดาวบอกอะไรเราได้บ้าง
A. อธิบายเรื่องการเคลื่อนที่ของทรงกลมท้องฟ้า
สำหรับภาพเส้นแสงดาวนั้น ในทางดาราศาสตร์เราสามารถใช้อธิบายเรื่องการเคลื่อนที่ของทรงกลมท้องฟ้าได้เป็นอย่างดี เช่น ภาพเส้นแสงดาวที่ถ่ายทางทิศเหนือ จะสามารถบอกการเคลื่อนที่ของดวงดาวที่จะหมุนรอบขั้วเหนือของท้องฟ้าแบบทวนเข็มนาฬิกา หรือภาพถ่ายเส้นแสงดาวทางทิศตะวันออกหรือตะวันตก ก็จะแสดงการเคลื่อนของดวงดาวที่มีแนวพุ่งในแนวตั้งขึ้นแบบเฉียงๆ ตามตำแหน่งละติจูดของผู้สังเกตได้
B. ตรวจสอบค่าทัศนวิสัยของท้องฟ้า
นอกจากนั้น ภาพเส้นแสงดาวยังสามารถใช้ในการตรวจสอบค่าทัศนวิสัยของท้องฟ้า ว่ามีท้องฟ้าที่ใสเคลียร์ตลอดทั้งคืนหรือไม่ หรือเหมาะที่จะใช้เป็นจุดสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์หรือไม่ ได้อีกด้วย โดยวิธีในการตรวจสอบคือ การดูที่เส้นแสงดาวว่า มีเส้นแสงดาวที่ขาดหรือหายไปหรือไม่ ตลอดการถ่ายภาพ หากเส้นแสงดาวไม่ขาดมีความต่อเนื่องตลอดก็แสดงให้เห็นว่าท้องฟ้าดีตลอดทั้งคืน หรือหากภาพเส้นแสงดาวมีส่วนที่ขาดหายไปก็หมายถึงมีบางช่วงที่ท้องฟ้าอาจมีเมฆ หรือมีมวลอากาศที่หนาแน่น ที่ทำให้ไม่สามารถสังเกตเห็นดวงดาวได้ในบางช่วง
อุปกรณ์และเทคนิคการภาพเส้นแสงดาว
อุปกรณ์
สำหรับอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการถ่ายภาพเสส้นแสงดาวนั้น ไม่ยากครับ เพียงแค่เรามีอุปกรณ์พื้นฐาน คือ กล้องดิจิตอล สายลั่นชัตเตอร์ และขาตั้งกล้อง ก็สามารถเริ่มต้นถ่ายภาพเส้นแสงดาวกันได้แล้ว
หากต้องการให้เราสามารถถ่ายภาพได้ดีขึ้น ก็อาจเพิ่มเติมอุปกรณ์เสริมต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและโอกาสในการบันทึกภาพได้เช่นกัน เช่น แถบความร้อนกันฝ้าหน้ากล้อง
เราสามารถสร้างแถบความร้อนกันฝ้าหน้ากล้องเองได้ ตามลิงค์ https://goo.gl/Tsk1Yi ซึ่งผมได้เคยเขียนไว้ในคอลัมน์ก่อนหน้า ในการติดแถบความร้อนไว้หน้าเลนส์ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการถ่ายภาพได้นานมากขึ้น โดยปราศจาก ปัญหาฝ้าหน้ากล้องที่เกิดในกรณีที่อากาศมีความชื้นสูง
เทคนิคการถ่ายภาพ
1. หาขั้วเหนือท้องฟ้าจากกลุ่มดาว
สำหรับผู้เริ่มต้นการถ่ายภาพเส้นแสงดาวอาจเริ่มต้นจากการถ่ายภาพทางทิศเหนือ โดยในการหาตำแหน่งดาวเหนือ หรือขั้วเหนือของท้องฟ้านั้น สามารถใช้กลุ่มดาวหมีเล็ก (หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ กลุ่มดาวจระเข้) หรือกลุ่มดาวค้างคาวได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้แอปพลิเคชั่น เช่น Star Chart ในการหาตำแหน่งดาวเหนือ หรือขั้วเหนือท้องฟ้าได้อีกเช่นกัน
2. ตั้งค่าการถ่ายภาพแบบต่อเนื่อง
สำหรับเทคนิคการถ่ายภาพนั้น หลักการพื้นฐานก็คือ การถ่ายภาพแบบต่อเนื่อง โดยการถ่ายภาพผ่านสายลั่นชัตเตอร์ เพื่อให้กล้องถ่ายภาพได้แบบต่อเนื่องตลอดทั้งคืน หรือหากกล้องใครที่มีฟังก์ชั่นการถ่ายภาพแบบ Interval Timer Shooting ก็สามารถใช้ถ่ายภาพได้เช่นกัน (แต่อาจเปลืองแบตเตอรี่มากกว่าการใช้สายลั่นชัตเตอร์)
3. ปิดฟังก์ชั่น Long-Exposure Noise Reduction
นอกจากนั้นในการตั้งค่ากล้อง เราจะต้องปิดฟังก์ชั่น Long-Exposure Noise Reduction เพื่อให้กล้องถ่ายภาพแบบต่อเนื่องโดยไม่เว้นช่วงการถ่าย Dark Frame ซึ่งจะทำให้เส้นแสงดาวขาดหายเป็นเส้นประเมื่อนำภาพมาต่อกัน
4. เลือกรูรับแสงกว้าง หรือแคบ ขึ้นอยู่กับเวลาในการเปิดหน้ากล้อง ซึ่งต้องสัมพันธ์กับค่า ISO
จากการตั้งค่าการถ่ายภาพในเบื้องต้น ขอนำมาสรุปเป็นเทคนิคการตั้งค่าถ่ายภาพออกเป็น 2 วิธีหลักๆ โดยสามารถใช้ค่ารูรับแสงกว้าง หรือแคบ นั้นเรามีข้อดีและข้อเสียมาแนะนำดังนี้ครับ
4.1 ถ่ายสั้น ใช้ ISO สูง รูรับแสงกว้าง
คือการตั้งค่าโดยใช้ค่า ISO ตั้งแต่ 800 – 2500 และใช้เวลาเปิดหน้ากล้องเพียง 30 วินาที และใช้ค่ารูรับแสงกว้างๆ เช่น F/1.8 หรือ F/2.8 พร้อมกับการถ่ายภาพแบบต่อเนื่อง
ข้อดี
- โอกาสพลาดน้อย คือหากมีภาพไหนที่อาจมีแสงรบกวนทำให้ภาพโอเวอร์ ก็อาจตัดบางภาพทิ้งไปได้ โดยจะไม่ทำให้ภาพขาดหายไปมากจนเกินไป
- ภาพที่ถ่ายมาสั้นๆ จะได้ภาพดาวเป็นจุดที่สามารถนำมาใช้สร้างวีดีโอ Timelapse Movie ได้
ข้อเสีย
- ไฟล์ภาพไม่เนียน เนื่องจากมี Noise หรือสัญญาณรบกวนเยอะ เนื่องจากต้องใช้ ISO สูง
- สีของดาวมักจะเป็นสีขาว ไม่ได้สีสันของดาวที่อุณหภูมิต่างกัน เนื่องจากการใช้ ISO สูง
- จำนวนภาพที่ถ่ายจะมีจำนวนมาก ทำให้เปลืองพื้นที่การจัดเก็บ (การ์ดเต็มง่าย)
- ความคมชัดลดลง หรือเรียกอีกอย่างว่าความชัดลึกน้อย เนื่องจากใช้รูรับแสงกว้าง
4.2 ถ่ายนาน ใช้ ISO ต่ำ รูรับแสงแคบ
คือการตั้งค่าโดยใช้ค่า ISO ตั้งแต่ 100 – 400 และใช้เวลาเปิดหน้ากล้องนาน เช่น 3 - 5 นาที และใช้ค่ารูรับแสงแคบ เช่น F/4.0 หรือ F/8.0 พร้อมกับการถ่ายภาพแบบต่อเนื่อง
ข้อดี
- ได้ไฟล์ภาพที่ใสเนียน เนื่องจากมีสัญญาณรบกวน หรือ Noise ต่ำ เนื่องจากใช้ ISO ต่ำ
- ได้ภาพแสงของดาวที่มีสีสสัน เนื่องจากใช้ ISO ต่ำ
- จำนวนภาพน้อย ไม่เปลืองเมมโมรีการ์ด
- ภาพมีคามคมชัดสูง เนื่องจากสามารถใช้รูรับแสงแคบๆได้
ข้อเสีย
- โอกาสพลาดสูง หากในช่วงเวลาในการถ่ายภาพมีแสงไฟมารบกวน หรือมีใครเปิดไฟเข้าหน้ากล้อง ภาพที่ถ่ายโดยใช้เวลานานๆ นั้น ก็จะเสียหายไปเลย โดยหากตัดภาพทิ้งไป เส้นแสงดาวของภาพที่ถ่ายนานๆ ก็อาจขาดหายไป ทำให้แก้ไขภาพได้ยาก
- ไม่เหมาะนำมาสร้างวีดีโอ Timelapse Movie
5. ถ่าย Dark Frame หลังการถ่ายภาพเส้นแสงดาว
การถ่าย Dark Frame คือการถ่ายภาพมืดๆ ด้วยวิธีการถ่ายภาพโดยการปิดฝาหน้ากล้อง หลังจากที่ถ่ายภาพดาวเสร็จแล้วทันที ซึ่งการถ่าย Dark Frame จะต้องถ่ายที่การตั้งค่าทุกอย่างทั้งเวลาเปิดหน้ากล้อง ค่า ISO และค่า WB ที่เหมือนกันทุกประการ และที่สำคัญต้องถ่ายที่อุณหภูมิเดียวกัน
เพื่อที่เราจะได้นำภาพ Dark Frame ไปใช้ในการลบสัญญาณรบกวนที่มักเกิดขึ้นกับภาพถ่ายที่ ถ่ายภาพ
6. นำภาพแสงดาว และภาพ Dark Frame มารวมกันด้วยโปรแกรม StarStaX
เกี่ยวกับผู้เขียน
ศุภฤกษ์ คฤหานนท์
สำเร็จการศึกษาครุศาสตรบัณฑิต สาขาฟิสิกส์ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ และครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาเทคโนโลยีและการสื่อสาร จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
ปัจจุบันเป็นหัวหน้างานบริการวิชาการทางดาราศาสตร์ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สดร., เคยทำวิจัยเรื่อง การทดสอบค่าทัศนวิสัยท้องฟ้าบริเวณสถานที่ก่อสร้างหอดูดาวแห่งชาติ มีประสบการณ์ในฐานะวิทยากรอบรมการดูดาวเบื้องต้น และเป็นวิทยากรสอนการถ่ายภาพดาราศาสตร์ในโครงการประกวดภาพถ่ายดาราศาสตร์ ประจำปี 2554 ของ สดร.ในหัวข้อ “มหัศจรรย์ภาพถ่ายดาราศาสตร์ในเมืองไทย”
“คุณค่าของภาพถ่ายนั้นไม่เพียงแต่ให้ความงามด้านศิลปะ แต่ทุกภาพยังสามารถอธิบายด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ได้อีกด้วย”
อ่านบทความ ศุภฤกษ์ คฤหานนท์ ทุกวันจันทร์ที่ 1 และ 3 ของเดือน