xs
xsm
sm
md
lg

มองหา

เผยแพร่:   โดย: ฉัตรพรรษ พงษ์เจริญ


ผมตื่นขึ้นมาพบเจอความมืดของยามย่ำรุ่งกลางเมืองกรุง แสงสลัวจากไฟส่องสว่างริมถนนทะลุลอดผ่านหน้าต่างเข้ามายังห้องนอนทำให้ไม่เคยเลยที่จะมืดสนิทเหมือนกับยามค่ำคืนในผืนป่าใหญ่ แม้ฟ้าจะยังไม่เริ่มสางแสงจากพระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้าแต่ยานพาหนะที่แล่นวิ่งไปมาบนท้องถนนก็ส่งเสียงโดยตลอดและไม่เคยเลยที่จะแสดงอาการอ่อนล้าเหนื่อยเพลีย ผมยังคงนอนอยู่ไม่ลุกขึ้นจากที่นอน พยายามแยกเสียงที่ได้ยินว่าพอจะมีบ้างไหมที่จะเป็นเสียงของเสียงนก แมลงหรือเสียงธรรมชาติอื่นใด ผลลัพธ์ที่ออกมาช่างน่าเศร้าใจ

“อาจจะเพราะเช้ามากเกินไปหรือเปล่าหรืออาจจะเพราะยังไม่มีแสง?” เสียงดังขึ้นในหัวจากการที่ผมพูดกับตัวเองก่อนที่จะลุกขึ้นทำธุระส่วนตัวและจัดแจงเตรียมเดินทาง

เป็นเวลาประมาณหนึ่งอาทิตย์แล้วที่สถานที่ทำงานประจำถูกเปลี่ยนจากป่าผืนใหญ่หนาแน่นด้วยต้นไม้และสรรพสัตว์มาเป็นพื้นที่กลางเมืองกรุงอันแน่นหนาด้วยอาคารตึกปูนสูงเสียดฟ้า การจราจรที่คับคั่งติดขัดอีกทั้งผู้คนมากหลายขวักไขว่เดินร่วมและสวนทางไปมา การออกจากพื้นที่พักอาศัยก่อนฟ้าสางเพื่อเดินทางมาให้เท่าทันเวลาเริ่มงานนั้นจึงสิ่งที่ผมเลือกทำ ผมเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่ตั้งเวลาปลุก นิ่งเงียบยังคงไม่มีเสียงร้องแจ้งเตือนเวลาดังออกมาจากมันนั่นหมายความว่าผมตื่นด้วยตัวเองเร็วกว่าเวลาที่คาดเอาไว้และสิ่งที่น่ากลัวกำลังจะเกิดขึ้นกับตัวผม

“ความเคยชิน”

แน่นอนว่าความเหนื่อยท้ออึดอัดไม่สบายใจนั้นเกิดขึ้นในความรู้สึก แต่เมื่อหลบฉากจากมุมมองด้านลบออกมามองในมุมอีกมุมหนึ่งนี่คือโอกาสอันดีสำหรับการสัมผัสเรียนรู้ชีวิตกลางเมืองใหญ่และผู้คนที่ดำรงชีวิตอยู่ที่นั่นอย่างจริงจัง อย่างไม่มีข้อสงสัยให้กังขาในคำตอบจากที่ได้รับมาจากคำถามระหว่างบทสนทนามากมายหลายครั้งที่เกิดขึ้น ทุกคนเอื้อนเอ่ยไปในทางเดียวกันถึงความต้องการไปสัมผัสกับธรรมชาติใน่ต่างจังหวัด ในเรือกสวนในไร่นาหรือในพื้นที่ป่าเขาอันสมบูรณ์ ไม่มีแม้ซักคนเดียวที่ไม่ชอบ ไม่ต้องการและอยากหลีกหนีปลีกตัวให้พ้นไกลจากพื้นที่สีเขียวแสนสบายตาสบายใจของธรรมชาติ

พื้นที่ป่าธรรมชาติและพื้นที่เมืองมีความแตกต่างกันนั้นเป็นเรื่องจริงทั้งในความหลากหลาย ความมากมายและคุณภาพของสิ่งแว้ดล้อมรอบตัว การที่ผู้คนนำพาตัวเข้าไปสัมผัสกับธรรมชาติในพื้นที่ป่ามีผลต่อความรู้สึกในด้านบวกที่ชัดเจนกว่าอย่างไม่มีข้อโต้แย้งซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่เรามีความจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้นเสมอหรือ? เราไม่สามารถที่จะชื่นชมธรรมชาติในพื้นที่อื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น พื้นที่ชุมชนหรือพื้นที่เมืองได้เลยหรือ? ผมเกิดความสงสัย

เช้าวันนี้ผมมาถึงสถานที่ทำงานก่อนเวลาเริ่มงาน ผู้คนยังไม่คับคั่งมากมาย แสงอาทิตย์สาดส่องแล้วแต่อุณหภูมิยังไม่ร้อนแรง สายลมอ่อนๆ ที่พัดผ่านสร้างความสดชื่นให้ได้ไม่น้อย ระยะทางเดินจากตึกลานจอดรถถึงอาคารทำงานไม่ไกลมากนัก ระหว่างทางกระรอกหลากสีคู่หนึ่งกำลังวิ่งไล่กัน นกขมิ้นท้ายทอยดำตัวหนึ่งบินผ่านยอดต้นหูกวาง นกปรอดสวนบินไล่หากินอยู่ระหว่างกิ่ง เสียงร้องของนกตีทองและนกกาเหว่าระงมคล้ายจะร้องแข่งกัน นกพิราบป่า นกกระจอกบ้าน นกเอี้ยงสาลิกา นกเขาชวาและนกเขาใหญ่ต่างกระโดดเดินหากินบนพื้นทางสัญจร รังผึ้งหลวงที่ถูกสร้างโหนห้อยอยู่ขอบระเบียงตึกสูง พวกมันทั้งหมดนั้นล้วนเป็น “สัตว์ป่า” ตามนิยามความหมายของคำนี้อย่างชัดเจน สภาพแวดล้อมที่ได้สัมผัสและสิ่งมีชีวิตที่ได้พบเจอระหว่างการเดินผ่านตึกอาคารใจกลางเมืองหลวงของประเทศเป็นคำตอบให้กับความใคร่รู้ของผมที่เคยเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี กอปรกับเมื่อพิจารณาถึงสวนสาธารณะต่างๆ ที่ตั้งอยู่รอบเมืองหลวงนี้ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยยืนยัน

ณ ที่นี้แม้จะด้อยกว่าพื้นที่ป่าอันสมบูรณ์ แต่ไม่ใช่ไม่มี ด้วยความจำเป็นรีบเร่งแก่งแย่งแข่งขันในการดำเนินชีวิต ผลกระทบจากงานที่ต้องรับผิดชอบ ความสับสนวุ่นวายรอบตัวที่เกิดไม่เว้นแต่ละวันหรือเหตุจำเป็นอื่นใดหรือเปล่าที่ทำให้เราไม่สังเกตมองและไม่ลองสัมผัสธรรมชาติในเมืองที่มีอยู่รอบๆ ตัว

หรืออาจเป็นเพราะจริงแท้แล้วตัวเราเองที่เลือกจะไม่ใส่ใจ

น่าเสียดายที่ว่าข้อสงสัยอันเกิดขึ้นในใจของผมข้อนี้คงไม่มี “คำตอบ”

เกี่ยวกับผู้เขียน

จองื้อที

แต่เดิมเป็นเด็กต่างจังหวัดจากภาคตะวันออก มุ่งมั่นเข้ามาศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ด้วยความสนใจส่วนตัวและถูกชักชวน จึงเลือกเข้าศึกษาในภาควิชาชีววิทยาป่าไม้ สาขาวิทยาศาสตร์สัตว์ป่าและทุ่งหญ้า ซึ่งระหว่างนั้นก็ได้มีโอกาสช่วยเก็บข้อมูลงานวิจัยสัตว์ป่าในหลายพื้นที่ หลังจากสำเร็จการศึกษาได้รับคำแนะนำให้ไปศึกษาต่อยังสถาบันอื่น จึงได้เข้ามาศึกษาต่อ ณ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในระดับปริญญาโทต่อมาถึงในระดับปริญญาเอก และยังคงมีสถานภาพเป็นนิสิตอยู่ในปัจจุบันขณะ

"เราพยายามเรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย เพื่อที่สุดท้ายแล้วเราจะได้รู้ว่า แท้จริงแล้งเราไม่ได้รู้อะไรเลย"

พบกับบทความ “จองื้อที” ได้ทุกวันที่ 1 และ 16 ของเดือน







กำลังโหลดความคิดเห็น