สมาคมดาราศาสตร์ไทยชี้แจงกรณีเสียงดังบนท้องฟ้า จ.สระแก้ว น่าจะเกิดจากสะเก็ดดาว-ดาวเคราะห์น้อยระเบิด แต่เป็นเศษดาวขนาดใหญ่ 1-10 เมตรเผาไหม้ไม่หมดจนเกิด "โซนิกบูม" ทำเสียงดัง ซ้ำรอยรัสเซียปี '56 แต่เล็กกว่าหลายเท่า พร้อมชี้เป็นเรื่องปกติเพราะอุกกาบาตเล็กตกใส่โลกทุกๆ 3 นาที
จากกรณีที่มีผู้ได้ยินเสียงดังบนท้องฟ้าและเกิดการสั่นไหวเป็นบริเวณกว้างเมื่อวันที่ 8 ก.ค.58 เวลาประมาณ 17:30 น. โดยเฉพาะในบริเวณจังหวัดสระแก้วและใกล้เคียง (บางคนรายงานว่ามองเห็นลูกไฟบนท้องฟ้าก่อนได้ยินเสียง) แต่ยังไม่มีหลักฐานเป็นคลิปหรือภาพถ่ายที่ชัดเจน จนเกิดเป็นข้อสงสัยและถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา สมาคมดาราศาสตร์ไทยจึงออกมาชี้แจงถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านเว็บไซต์ของสมาคมฯ
นายวรเชษฐ์ บุญปลอด กรรมการวิชาการสมาคมดาราศาสตร์ไทย เผยว่า จากข้อมูลที่รวบรวมได้ตามสื่อต่างๆ และตามเครือข่ายสังคมออนไลน์ สันนิษฐานว่าหากไม่ใช่สาเหตุอื่น อาจเกิดจากสะเก็ดดาวหรือดาวเคราะห์น้อยขนาดเล็กพุ่งเข้าสู่บรรยากาศด้วยความเร็วสูง อาจมีขนาดใหญ่กว่า 1 เมตร แต่ไม่เกิน 10 เมตร โดยประเมินจากความสว่างที่เห็นได้ในเวลากลางวันและเสียงดังที่ได้ยิน
แรงอัดกับบรรยากาศที่หนาแน่นทำให้สะเก็ดดาวระเบิดและแตกกระจาย ซึ่งปรกติเกิดขึ้นที่ความสูงประมาณ 50 กิโลเมตร เสียงดังอาจเกิดจากคลื่นกระแทกเนื่องจากการเคลื่อนที่ด้วยเร็วสูงจนเกิดซอนิกบูม ทำนองเดียวกับปรากฏการณ์ที่รัสเซียเมื่อวันที่ 15 ก.พ.56 แต่ที่เกิดเมื่อวันที่ 8 ก.ค. มีขนาดเล็กกว่าหลายเท่า
ทั้งนี้ หากเป็นสะเก็ดดาวหรือดาวเคราะห์น้อยขนาดเล็กจริง คาดว่าอาจมีซากชิ้นส่วนเป็นอุกกาบาตชิ้นเล็กๆ ตกบนพื้นดินก็ได้ ซึ่งข้อมูลจากผู้เห็นเหตุการณ์จากที่ต่างๆ ในบริเวณโดยรอบ จะทำให้สามารถบอกทิศทางการเคลื่อนที่และอาจช่วยให้สามารถคาดคะเนบริเวณจุดตกของอุกกาบาตได้ นายวรเชษฐ์ คาดการณ์
นายวรเชษฐ์ ให้ข้อมูลว่า การตกของสะเก็ดดาวในลักษณะนี้เกิดขึ้นเป็นประจำ ส่วนใหญ่เป็นวัตถุขนาดเล็กที่สามารถเผาไหม้หมดไปในบรรยากาศ นักดาราศาสตร์ประเมินว่าทั่วโลกมีสะเก็ดดาวขนาด 10 เซนติเมตร เข้าสู่โลกทุกๆ 2-3 นาที และสว่างประมาณดาวศุกร์ สะเก็ดดาวขนาด 1 เมตรราวสัปดาห์ละครั้ง สะเก็ดดาวขนาด 10 เมตรราวปีละครั้ง และสว่างประมาณดวงจันทร์เต็มดวง และสะเก็ดดาวขนาด 50 เมตร ครั้งหนึ่งในรอบ 1,000 ปี
"แต่การที่พื้นโลกเป็นพื้นน้ำถึง 3 ใน 4 และคนอาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ไม่กระจายทั่วทั้งโลก ทำให้ดาวตกที่สว่างมากส่วนใหญ่เกิดขึ้นในบริเวณห่างไกลจากผู้คน นานๆ ครั้งคนบนโลกจึงจะมีโอกาสเห็นได้ ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งที่เป็นไปได้คือเกิดจากการตกของซากจรวดที่ใช้ในโครงการอวกาศ แต่เท่าที่ตรวจสอบดูไม่พบว่ามีรายงานคาดหมายการตกของขยะอวกาศใดๆ ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์" นายวรเชษฐ์ระบุ