คนไทยเรามีสำนวนเกี่ยวกับเกลือมากมาย เช่น “กินเกลือ กินกะปิ” หมายถึง อดทน และมุ่งมั่นทำมาหากิน “ใกล้เกลือ กินด่าง” หมายถึง การไม่ตระหนักในคุณค่าของสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว แต่ชอบสิ่งที่ด้อยกว่า “ข้าวเหลือ เกลืออิ่ม” หมายถึง ประเทศชาติมีความอุดมสมบูรณ์ด้วยข้าวปลาอาหาร “ฆ่าควายเสียดายเกลือ” หมายถึง การทำงานใหญ่ แต่ไม่ประสงค์จะลงทุนมาก “ทำนาออมกล้า ทำปลาออมเกลือ” หมายถึง การทำกิจกรรมอะไรก็ตาม ถ้ากลัวสิ้นเปลืองจะทำให้ได้ผลไม่เต็มที่ “เกลือจิ้มเกลือ” หมายถึง รู้ทันและไม่ยอมเสียเปรียบกัน และ “เกลือเป็นหนอน”หมายถึง การที่ต้องจงรักภักดี แต่กลับคิดคดต่อเจ้านาย เป็นต้น
ไม่เพียงแต่คนไทยเท่านั้นที่ตระหนักในความสำคัญของเกลือ คนชาติอื่นก็ผูกพันกับเกลือเช่นกัน อาทิ ในคัมภีร์ไบเบิลมีการกล่าวถึงเกลือกว่า 30 ครั้งเช่น เมื่อพระเยซูประทับในเยรูซาเลม พระองค์ได้ตรัสถึงบรรดาสานุศิษย์ว่าเป็น “Ye are the salt of the earth” ซึ่งหมายถึงเป็นคนดีชนิดที่หาที่ติมิได้ ในงานเลี้ยงมื้อสุดท้ายของพระองค์ Jedas Iscariot สานุศิษย์ผู้ทรยศได้ทำเกลือหก ซึ่งเป็นลางร้ายที่แสดงว่าพระเยซูจะถูกทหารโรมันนำตัวไปตรึงบนไม้กางเขน เมื่อพระเจ้าทรงทำลายเมือง Sodom และ Gomorrah ที่ตั้งอยู่ใกล้ทะเล Dead Sea พระองค์ทรงสาปให้ภรรยาของ Lot เป็นเสาเกลือ เพราะนางมีพฤติกรรมสองหน้า คือซื่อสัตย์และเชื่อฟังขณะอยู่ต่อพระพักตร์ แต่ละเมิดคำสั่งเมื่อลับหลัง ในทำนองเดียวกับเกลือที่เวลาอยู่ในน้ำก็ละลาย แต่เวลาแห้งก็แข็งเหมือนหิน บันทึก Talmud ของคนยิวเปรียบเทียบว่า มนุษย์ขาดเกลือไม่ได้ฉันใด ชาวยิวก็ขาดคัมภีร์ Torah ไม่ได้ฉันนั้น ตามปกติในโบสถ์ยิวมักมีจานเกลือวางสำหรับให้ผู้คนที่มาโบสถ์ได้บวงสรวงอธิษฐาน สำนวนยิวที่ว่า “sitting above salt” หมายความว่าได้นั่งในที่มีเกียรติ คำมั่นสัญญาที่พระเจ้าประทานแก่ Aaron มีชื่อว่า Covernant of Salt เพราะพระองค์ทรงใช้เกลือช่วยปิดผนึกในการแสดง ว่านี่เป็นสัญญาที่คู่กรณีไม่มีการบิดพลิ้ว และสิ่งที่ปรากฏในสัญญาเป็นสัจจะชั่วนิจนิรันดร์ ในพิธีรับศีลจุ่มของชาวคริสต์จะมีการเอาผงเกลือเล็กน้อยใส่ปากคนที่จะรับศีลจุ่ม พร้อมกับเอ่ยว่า accipe sal sapiente ซึ่งแปลว่า ความฉลาดจะช่วยให้ชีวิตมีความสุขตลอดไป
สังคมอาหรับมีประเพณีว่าบุคคลใดที่ได้บริโภคเกลือร่วมกันจะเป็นมิตรกันตลอดชีวิตอย่างมิมีวันดับสลาย ในสมัยโรมโบราณ หลังจากที่ทารกถือกำเนิดได้ 7 วัน ในวันที่ 8 มารดาจะเอาเกลือทาตามตัวเด็กเพื่อขับไล่ภูตผีที่จะมารังควาน เพราะเชื่อว่าภูตผีกลัวและเกลียดเกลือ ดังนั้นจึงใช้เกลือขับไล่ปีศาจ และชาวโรมยังเชื่ออีกว่า เวลาปาเกลือใส่ใคร บุคคลนั้นจะมีอาการเจ็บปวด แสบตามตัว ในเวลากลางวันจะมีอาการกระสับกระส่ายจนต้องเดินไปมาตลอดเวลา เมื่อถึงเวลากลางคืนก็จะนอนไม่หลับ หรือเวลากลับจากงานศพ ก่อนเข้าบ้าน ควรโยนผงเกลือข้ามไหล่เพื่อขับไล่ปีศาจที่จะตามมารังควาน และใครที่ถูกซัดด้วยเกลือ นั่นแสดงว่า เขาเป็นคนที่สังคมไม่ต้องการ
คำละตินที่แปลว่าเกลือ คือ sal ซึ่งย่อมาจากคำ salarium argentum แล้วคำนี้ได้แปลงต่อไปเป็น salary ซึ่งแปลว่าเงินเดือน เพราะในสมัยนั้นข้าราชการโรมันรับเงินเดือนเป็นเกลือซึ่งใช้เป็นปัจจัยสำคัญในการครองชีพ และการค้าขายมาก จนทำให้มี via Salaria ที่แปลว่า ถนนเกลือ และมี salt route ที่แปลว่า เส้นทางสายเกลือเชื่อมระหว่างเมืองต่างๆ ในยุโรป เมือง Salzburg ในออสเตรีย (ซึ่งแปลตรงๆ ว่าเมืองเกลือ) มีเหมืองเกลือถึง 4 แห่ง
ชาวเมือง Prague ในยุคกลางนิยมให้เกลือเป็นของขวัญเพื่อแสดงความเป็นมิตร เวลาคนเยอรมันสาบานตนเขาจะเอามือข้างหนึ่งจุ่มในถังเกลือ และมีความเชื่อว่าใครที่ทำเกลือหกจะได้รับเคราะห์กรรมในเวลาไม่นาน สำหรับในพิธีฝังศพผู้คนเชื่อว่า ถ้าเอาเกลือโรยบนศพในโลง ปีศาจร้ายจะไม่มารบกวนคนตาย นอกจากนี้ผู้คนก็ยังเชื่ออีกว่า ถ้าเอาเกลือโรยบนศีรษะใคร คนนั้นก็จะรักตอบทันที เป็นต้น
ในปี 1708 ครอบครัวชาวฝรั่งเศสเวลาต้องการเกลือมาปรุงอาหาร ถ้าไปซื้อเกลือที่มีราคาถูกกว่าในต่างแคว้น และถูกจับได้ จะถูกจองจำ จนบางครั้งผู้นำครอบครัวก็ต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ครอบครัวอยู่รอด
ในด้านสงคราม เกลือก็มีบทบาทสำคัญ เมื่อกองทัพของจักรพรรดิ Napoleon ล่าถอยจาก Moscow ใน ค.ศ.1777 ทหารฝรั่งเศสได้ล้มตายมากมาย เพราะร่างกายไม่ได้สารอาหารอย่างเพียงพอ เพราะกองทัพขาดเกลือที่ใช้ถนอมอาหารไม่ให้เน่าเปื่อย และใช้ทำความสะอาดแผล นายพล Lord Howe แห่งกองทัพอังกฤษรู้สึกดีใจมากที่ทหารอังกฤษยึดโรงงานผลิตเกลือของนายพล George Washington ได้ เมื่อเกิดสงครามกลางเมืองในอเมริกาในปี 1864 และทหารฝ่ายเหนือสามารถยึดเมือง Saltville ได้ หลังจากที่สู้รบกันนาน 36 ชั่วโมง ประธานาธิบดี Jefferson Davis มีความยินดีมากถึงกับอนุญาตให้คนเฝ้าหม้อต้มเกลือไม่ต้องออกสนามรบ เวลาทหารญี่ปุ่นพูดว่า teki ni shio o okuru และให้เกลือนั่นแสดงถึงการต่อสู้ที่ผู้พิชิตได้ชนะอย่างเป็นธรรม จึงส่งเกลือมาให้แก่ผู้แพ้
สำหรับบทบาทของเกลือในด้านเศรษฐกิจนั้นก็มีมาก Marco Polo เคยบันทึกว่าคนจีนรู้จักถลุงเกลือในแคว้นเสฉวนมานานพันปีแล้ว เมื่อ 4,200 ปีก่อนนี้ จักรพรรดิ Hsia Yu ทรงเก็บภาษีเกลือจากชาวทิเบต Herodotus และ Plutarch นักประวัติศาสตร์กรีกได้บันทึกว่า เมื่อ 2,500 ปีก่อน ชาวอียิปต์ใช้เรือขนเกลือไปเร่ขายตามลำน้ำไนล์ เมื่อธุรกิจเกลือรุ่งเรือง พ่อค้าทางตอนเหนือของแอฟริกาได้ตัดถนนผ่านทะเลทราย Sahara ใน Morocco ไปจนถึงเมือง Timbuktu และบนถนนสายนี้ ชาวแอฟริกันที่ไม่มีเกลือจะบริโภคมักนำลูกหลานมาขายเพื่อแลกเปลี่ยนกับเกลือ ส่วนพ่อค้าทาสก็ใช้เกลือซื้อคนจนไปเป็นทาส จนทำให้เกิดสำนวนว่า worth his salt ซึ่งหมายถึงคุ้มค่าเกลือที่เสียไป คนพเนจรที่ร่อนเร่อยู่ในบริเวณที่ราบ Danakil ในประเทศ Ethiopia ทุกวันนี้ก็ยังใช้เกลือต่างเงินในการค้าขาย
ชาวฝรั่งเศสใน ค.ศ.1259 นิยมปนเกลือในเครื่องปั้นดินเผา เพราะเชื่อว่าทำให้ผลิตภัณฑ์มีความคงทน ความนิยมนี้มีผลทำให้อุตสาหกรรมเกลือเจริญรุ่งเรืองที่เมือง Guerandes จนกษัตริย์ Charles แห่งเมือง Anjou ทรงดำรินำภาษีเกลือ (gabelle) ที่ได้ไปใช้ในการทำสงครามกับกองทัพอาณาจักร Naples ของอิตาลี ประเพณีการเก็บภาษีเกลือที่มากถึง 140 เท่าของราคาต้นทุนในช่วงปี 1630-1710 มีส่วนในการให้เกิดการปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศส
ในปี 1785 Earl แห่ง Dundonald รายงานว่าทุกปีมีผู้คนนับหมื่นถูกจับเนื่องจากได้นำเกลือเข้า-ออกอังกฤษอย่างผิดกฎหมาย
ในปี 1825 รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้เงินภาษีที่เก็บได้จากธุรกิจเกลือไปในการขุดคลอง Erie ที่เชื่อมระหว่าง Great lakes กับแม่น้ำ Hudson
ในปี 1930 Mahatma Ghandi ได้ต่อต้านการยึดครองอินเดียของอังกฤษ ด้วยการเดินด้วยเท้าไปเมืองชายฝั่งทะเลเป็นระยะทางกว่า 300 กิโลเมตร เพื่อสนับสนุนการผลิตเกลือเองเพื่อใช้ในการบริโภค เป็นการท้าทายกฎหมายผูกขาดเกลือของอังกฤษ
ที่เมือง Krakow ในโปแลนด์มีเหมืองเกลือชื่อ Wieliczka ที่มีการขุดมานานกว่า 700 ปีแล้วจนกษัตริย์โปแลนด์ทรงเข้ามาดำเนินการจัดการเรื่องขายเพื่อนำเงินเข้าประเทศ ลุถึงปี 1978 เหมืองใต้ดินที่อยู่ลึก 135 เมตร และยาว 2 กิโลเมตรนี้ก็ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลก
ทุกวันนี้ชาวโลกบริโภคเกลือประมาณปีละ 300 ล้านตัน ในรูปแบบต่างๆ เช่น ใช้ทำสบู่ ยาย้อม ฟอกหนังสัตว์ เก็บรักษาอาหาร ใช้ในตู้เย็น ละลายหิมะ ฟอกกระดาษ ฯลฯ องค์ประกอบต่างๆ ในร่างกายคน เช่น เลือด เหงื่อ น้ำตา ก็มีเกลือ คนแอฟริกันที่อาศัยในทะเลทราย เวลาต้องการเกลือก็อาจดื่มปัสสาวะของคนหรือสัตว์เลี้ยง เพราะสิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องการเกลือในการดำรงชีวิต ดังนั้นสัตว์บางชนิดจึงต้องกินโป่งเกลือ จากเกลือ 5 ล้านตันต่อปีที่คนอเมริกันบริโภค 4.5 ล้านตันจะถูกนำไปใช้เป็นอาหารสัตว์ ใน Algeria เวลาอูฐจะเดินทางไกลข้ามทะเลทราย Sahara คนเลี้ยงจะให้อูฐกินเกลือเพื่อทำให้มันกระหายน้ำมาก แล้วอูฐก็จะดื่มน้ำจนพอเพื่อให้สามารถเดินทางไกล 1,000 กิโลเมตรได้โดยไม่ต้องดื่มน้ำอีกเลย
ในการทำเกลือ ชาวบ้านจะเอาน้ำทะเลมาต้มในกระทะใบใหญ่ แล้วเคี่ยวให้น้ำระเหยไปจนเหลือแต่ผงเกลือ แต่ในประเทศที่มีแดดจัด ชาวบ้านจะใช้แสงอาทิตย์แผดเผาน้ำทะเลจนเหลือแต่ผลึกเกลือ นี่เป็นวิธีที่ทำกันทั่วไปในบริเวณใกล้ทะเล แต่ในพื้นที่ที่อยู่ไกลทะเลเขาใช้วิธีทำเหมืองเกลือซึ่งมีดินปนเกลืออุดมสมบูรณ์ เช่นที่เมือง Krakow ในโปแลนด์ และที่ Cheshire ในอังกฤษ ชาวมณฑลเสฉวนของจีนทำเกลือโดยการขุดบ่อแล้วใช้ท่อไม้ไผ่และเครื่องฉุดน้ำเกลือขึ้นจากบ่อ
โดยทั่วไป เวลาเรากล่าวว่าร่างกายต้องการเกลือ เราหมายถึงความต้องการโซเดียม เพราะโซเดียมสามารถควบคุมอัตราการเข้า-ออกของน้ำในเซลล์ และเป็นสื่อส่งรับสัญญาณไฟฟ้าระหว่างเซลล์ประสาท เกลือในร่างกายมีหน้าที่ช่วยเผาผลาญโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต ทำให้ร่างกายมีพลังงาน แพทย์คาดว่าร่างกายคนปกติต้องการเกลือประมาณวันละ 400 มิลลิกรัม ดังนั้นคนที่ประสบเหตุเรืออับปางกลางทะเลและไม่มีน้ำจืดดื่ม จึงไม่ควรดื่มน้ำทะเล เพราะน้ำทะเลมีเกลือมากถึง 3% โดยน้ำหนัก ขณะที่ร่างกายต้องการเกลือในเลือดเพียง 1% โดยน้ำหนัก ดังนั้นถ้าดื่มน้ำทะเลเข้าไปมาก ไตในร่างกายจะต้องกำจัดเกลือออกมากถึง 2% คนๆ นั้นจึงจะปลอดภัย นั่นคือ ต้องขับปัสสาวะออก 1.5 ลิตร ทุกครั้งที่เขาดื่มน้ำทะเล 1 ลิตร (ไตคนปกติทำเช่นนี้ไม่ได้)
ในการพิจารณาบทบาทของเกลือในอารยธรรมโบราณ เราจะเห็นได้ชัดจากแผนที่ เช่น ในเขตลุ่มแม่น้ำ Jordan จากทะเล Dead Sea ในเขต Palestine ซึ่งเป็นแหล่งเกลือ ในอียิปต์ยุคโบราณก็มีการขนส่งเกลือล่องตามลำน้ำ Nile ไปตามสถานที่ต่างๆ ตามริมแม่น้ำเพื่อค้าขาย ในฝรั่งเศสพื้นที่ที่อยู่ไกลจากทะเลได้รับเกลือจาก Marseilles ซึ่งถูกลำเลียงมาตามลำน้ำ Rhone เพราะตามปกติ การขนส่งทางแม่น้ำเป็นเส้นทางคมนาคมที่ง่ายที่สุด
ในมหาสมุทรก็มีการขนส่งเกลือเช่นกัน โดยเฉพาะในบริเวณตอนเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติก ทะเลเหนือ และทะเล Baltic ได้มีการพาณิชย์เกลือระหว่างอังกฤษ เนเทอร์แลนด์ สแกนดิเนเวีย และรัสเซียมาเป็นเวลานาน ด้านสเปนกับโปรตุเกสก็มีการค้าขายเกลือกับแอฟริกา อินเดีย และอเมริกา
ส่วนทางบกที่ต้องใช้ม้า ลา อูฐ และลาม่า ในการขนเกลือข้ามภูเขา ทะเลทรายไปให้ชุมชนที่ต้องการเกลือก็ทำให้เกิดระบบหน่วยป้องกันการถูกปล้น และยามรักษาความปลอดภัยให้แก่พ่อค้าเกลือ ซึ่งจะเห็นได้ว่าถ้าชุมชนใดมีเกลือมาก คนในชุมชนนั้นก็มักจะมีเสรีภาพ และเป็นประชาธิปไตย แต่ถ้ามีเกลือน้อย คนที่ควบคุมเกลือก็มักจะเป็นเจ้านายควบคุมคนในชุมชนนั้น
เศรษฐกิจกรีซในสมัยโบราณมักขึ้นกับเกลือที่ใช้ในการหมักเนื้อ และทำหนังสัตว์ อาหารกรีกมีปลาจากทะเลเมดิเตอเรเนียนเป็นวัตถุดิบหลัก ในยุคจักรพรรดิ Caesar อาณาจักรโรมันที่มีประชากรร่วม 100 ล้านคน ใช้เกลือปีละประมาณ 1 ล้านตัน
ในยุคกลางพ่อค้าชาวดัตซ์จัดส่งปลา herring แช่เค็มไปขายทั่วยุโรป และในคริสตศตวรรษที่ 18 กับ 19 อังกฤษคือผู้ผลิตเกลือได้มากที่สุดของโลก
ในอารยธรรมลุ่มแม่น้ำ Nile, Tigris และ Euphrates, Yangtze กษัตริย์และเจ้านครมักทำหน้าที่เป็นผู้ผูกขาดการแลกเปลี่ยนเกลือซึ่งประชาชนที่ยากจนต้องการจะบริโภค ดังนั้นชนชั้นปกครองจึงต้องมีหน่วยทหารรักษาแหล่งเกลือไม่ให้ถูกบุกรุก เพื่อให้ตนจะได้เป็นเจ้าชีวิตของประชาชนผู้ยากไร้ตลอดไป
ในแอฟริกาที่ผู้คนยากจนมาก ในปี 1882 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ คนหนึ่งได้รายงานว่า มีคนเอาลูกสาวมาขายให้โดยแลกกับเกลือหนึ่งขวด เหล่านี้คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ประชากรในพื้นที่ของโลกที่อยู่ห่างไกลทะเลมีค่อนข้างน้อย เพราะคนเหล่านี้ไร้หรือขาดแคลนเกลือที่ใช้บริโภคเพื่อการดำรงชีวิตนั่นเอง
ถึงยุคปัจจุบันเมื่อโลกมีความสามารถทางวิทยาศาสตร์ในการสังเคราะห์เกลือ ภาวะการอดเกลือตาย จึงยากที่จะเกิด แต่ในสถานที่ที่ยังต้องพึ่งพาเกลือจากน้ำทะเล ภาวะขาดเกลือยังเป็นปัญหาต่อไป แต่เมื่อระดับน้ำทะเลในมหาสมุทรกำลังเพิ่ม เพราะโลกกำลังร้อนขึ้นตลอดเวลา ชุมชนที่อยู่ห่างไกลทะเลคงจะรู้สึกดีขึ้นที่วันหนึ่งจะได้มีเกลือบริโภคเหมือนคนอื่นๆ แต่ก็คงอีกนานหลายพันปี
อ่านเพิ่มเติมจาก Salt: A World History โดย Mark Kurlansky จัดพิมพ์โดย Penguin Books ปี 2003
เกี่ยวกับผู้เขียน
สุทัศน์ ยกส้าน
ประวัติการทำงาน-ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
อ่านบทความ สุทัศน์ ยกส้าน ได้ทุกวันศุกร์