ปี 1910 ถึง 1920 เป็นช่วงเวลาที่ประเทศเม็กซิโกมีการปฏิวัติและสงครามกลางเมืองตลอดเวลา โดยชาวเม็กซิกันได้พากันออกมาต่อสู้เพื่อขจัดความแตกต่างระหว่างชนชั้นต่ำกับชนชั้นสูง ดังนั้นเมื่อ Diego Rivera ได้เห็นความลำบากทุกข์ยากของเพื่อนร่วมชาติ เขาจึงหยิบแปรงพู่กันออกมาระบายภาพแสดงความขัดแย้ง และความอยุติธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้น Rivera นั้นเป็นคนที่ภูมิใจในเชื้อสายอินเดียนของตนมาก และรู้สึกชื่นชมความสามารถด้านศิลปะของคนอินเดียน เขาจึงมีความสนใจศึกษาศิลปะอินเดียน ตั้งแต่เด็ก และมักวาดภาพแสดงความงามของคนอินเดียนในงานศิลป์ของเขาเนืองๆ ในสมัยที่ยังเป็นหนุ่ม Rivera ได้เคยเดินทางไปยุโรปเพื่อพบ Picasso และจิตรกรชาวยุโรปที่มีชื่อเสียงคนอื่นๆ ครั้นเมื่อกลับถึง Mexico เขามักคิดว่า ศิลปะทุกรูปแบบเป็นสมบัติของประชาชน (ไม่ใช่ของพิพิธภัณฑ์) ดังนั้น Rivera จึงมักวาดภาพจิตรกรรมตามผนังตึกสาธารณะเพื่อให้ประชาชนทั่วไปเห็น เช่น เมื่อ Rivera เดินทางเยือนสหรัฐอเมริกา เขาได้วาดภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เมือง San Francisco และ Detroit ส่วนภาพที่เขาวาดให้ Rockfeller Center ที่ New York City นั้น ได้ถูกห้ามนำออกแสดง เพราะเจ้าภาพที่เชิญคิดว่า ภาพแสดงความนิยมชมชอบในลัทธิคอมมิวนิสต์มากเกินไป
ภาพวาดติดผนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Rivera คือภาพ Dream of a Sunday Afternoon in Alamedea Park ซึ่งเป็นภาพที่ Rivera วาดติดผนังห้องอาหารของโรงแรม El Prada ที่ตั้งอยู่ใกล้ Alamedea Park ใน Mexico City ในปี 1948
การจะซาบซึ้งในภาพที่สูง 48 เมตร และยาว 15 เมตรนี้ ผู้ชมต้องเดินดูอย่างใกล้ชิด จึงจะเห็นภาพทั้งหมด เพราะบุคคลในภาพมีประมาณ 150 คน และบุคคลเหล่านี้มีหลายคนที่ชาวเม็กซิกันทุกคนรู้จักดีจากการอ่านประวัติศาสตร์ แต่ก็มีอีกหลายคนที่ไม่มีใครรู้จัก เพราะเป็นเพียงตัวประกอบ นอกจากนี้ Rivera ยังวาดภาพของตนเอง และสมาชิกหลายคนในครอบครัวลงในภาพด้วย
ในการจะศึกษารายละเอียดและเข้าใจความหมายของภาพ ผู้ดูต้องเริ่มจากซ้ายไปขวา ตามลำดับเวลาที่เหตุการณ์ในภาพอุบัติ
บุคคลที่อยู่ซ้ายสุดของภาพคือ Hernan Cortes ผู้พิชิตอาณาจักร Aztec (เม็กซิโกปัจจุบัน) เขาคือผู้บุกยึดเม็กซิโกเป็นอาณานิคมของสเปน นอกจากจะได้ฆ่าฟันชาวพื้นเมืองไปเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ยังได้ทำลายอารยธรรมดั้งเดิมของเม็กซิโกไปด้วย ดังนั้น Rivera จึงวาดมือขวาของ Cortes เปื้อนเลือด
ในความรู้สึกส่วนตัวของ Rivera นั้น นายพล Cortes เป็นบุคคลสำคัญผู้กล้าหาญ และเป็นนายทัพผู้มีความสามารถในการวางแผนยุทธศาสตร์อย่างชาญฉลาด ทั้งๆ ที่กองทัพของ Cortes มีกำลังพลน้อยกว่ากองทัพนักรบ Aztec หลายร้อยเท่า แต่ Cortes ก็ชนะสงคราม จึงได้บุกทำลายวิหารของชาว Aztec จนพังพินาศสิ้น แล้วปักไม้กางเขนของคริสตศาสนาลงไปแทน จากนั้นก็ประกาศเปลี่ยนเทพเจ้าที่ชาวเมืองนับถือไปเป็นพระเจ้าของชาวคริสต์โดย Cortes ได้อ้างถึงการกระทำที่ทำไปว่า เพื่อถวายสักการะต่อกษัตริย์สเปน หาใช่ทำเพื่อตนเองไม่
คนที่ยืนถัดจาก Cortes ไปทางขวาเล็กน้อย คือเด็กยากจนที่มีร่างกายผอมโซ และเด็กคนนี้กำลังล้วงกระเป๋าของชายฐานะดี คนที่ยืนใกล้ Rivera ได้วาดภาพของคนทั้งสองนี้ให้เห็นความขัดแย้งที่เกิดจากความแตกต่างระหว่างคนยากจนกับชนชั้นปกครอง
บริเวณกลางของภาพแถวหน้ามีภาพของ Rivera ที่สวมกางเกงขาสั้น ใส่หมวก รูปร่างอ้วน และตาโปน คนที่ยืนเบื้องหลังคือ Frida Kahlo ซึ่งเป็นภรรยา เธอกำลังใช้มือจับไหล่สามี Frida Kahlo มีอาชีพเป็นจิตรกรเหมือนสามี ทั้งสองได้พบกัน เมื่อ Frida นำภาพที่เธอวาดไปให้เขาดู และ Rivera ก็ได้เห็นว่าภาพของเธอมีทั้งพลัง และความคิดริเริ่ม ที่สามารถดึงดูดอารมณ์ของผู้ดูภาพได้ดี เขาจึงสนใจในตัวเธอ ทั้งๆ ที่เธอมีอายุอ่อนกว่าถึง 20 ปี หลังจากที่คนทั้งสองแต่งงานกันแล้ว Frida ได้สร้างชื่อเสียงให้ตัวเธอเองในฐานะจิตรกรผู้ถนัดการวาดภาพพื้นเมืองของเม็กซิโก เมื่อเธอเสียชีวิต Rivera ได้เขียนคำอาลัยถึงเธอว่า แม้เขาจะมีรักหลายครั้งกับสตรีหลายคน แต่ช่วงชีวิตที่ดีที่สุดของเขาคือ ช่วงเวลาที่เขาและ Frida รักกัน
ถัดจาก Frida ไปทางขวาคือภาพของมัจจุราช หรือความตาย Rivera ได้วาดเป็นโครงกระดูกที่สวมหมวกตามประเพณีของชาวเม็กซิโกที่ยึดถือว่า ความตายมิใช่จุดสิ้นสุดของทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เป็นการเกิดในรูปแบบใหม่ และทุกคนจะเห็นความตายเกิดขึ้นได้ทั่วเม็กซิโก ตั้งแต่อดีตคือเมื่อ Cortes พิชิตอาณาจักร Aztec จนกระทั่งถึงปัจจุบันซึ่งกำลังมีการต่อสู้ระหว่างชนชั้นกรรมาชีพกับชนชั้นสูง ดังนั้น สงครามกลางเมืองในเม็กซิโกจึงเกิดขึ้นบ่อย และทำให้ประเทศมีวีรบุรุษหลายคน
โดยทั่วไป บุคคลที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นวีรบุรุษของชาวเม็กซิโกมักเป็นนักเคลื่อนไหวและนักปฏิวัติที่พยายามกำจัดการเอาเปรียบคนจนโดยคนรวย และขจัดความเหลื่อมล้ำในสังคมด้วยวิธีรุนแรง บุคคลประเภทนี้จึงมักได้รับการยกย่องและชื่นชมจากชาวบ้านทั่วไป จนทำให้มีตำนานเล่าสู่กันฟัง และมีเพลงพื้นเมืองที่ชาวบ้านแต่งอุทิศให้คนเหล่านี้
เบื้องหลังทางด้านขวาของภาพ คือภาพของนักปฏิวัติที่กำลังขี่ม้า และมีธงเม็กซิโกโบกสะบัดอยู่ที่บริเวณเท้าของม้าที่กำลังผงาด บนธงชาติมีตัวอักษรเขียนว่า Viva Zapata และ Tierra y Liberated (ซึ่งแปลว่า Land and Freedom)
สำหรับ Emiliano Zapata นั้น เขาเป็นนักปฏิวัติผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของเม็กซิโก และถูกฆ่าตายที่เมือง Chinameca ประวัติสั้นๆ ของ Zapata มีว่า เขาเกิดเมื่อปี 1877 ที่หมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ Anencuilo ในเม็กซิโก บิดาเป็นชาวนา บรรพบุรุษของตระกูลได้ทำนามานานหลายชั่วอายุคน ตั้งแต่สมัยที่เม็กซิโกยังเป็นอาณานิคมของสเปนในคริสต์ศตวรรษที่ 16 จนถึงประมาณปี 1900 ครั้นเมื่อเจ้าของที่นาถูกกองทหารของรัฐบาลขับไล่ เพื่อเปิดพื้นที่ให้รัฐบาลสร้างทางรถไฟ เมื่อเจ้าหน้าที่ได้รับสินบนจากนายทุนที่หนุนหลังรัฐบาล จึงจัดส่งพวกอันธพาลเข้ายึดที่นาของชาวบ้าน ใครคนใดที่ขัดขืนก็จะถูกนำตัวไปขังในคุก บิดาของ Zapata เป็นบุคคลหนึ่งที่ต้องเสียทั้งที่ดินและอิสรภาพ จึงระดมพรรคพวกและเพื่อนฝูงมารวมตัวกันเป็นกองโจรออกต่อสู้กับฝ่ายปกครอง และได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่จากชาวบ้านกับผู้มีอิทธิพลจากหมู่บ้านอื่นๆ กองทัพชาวบ้านของ Zapata ได้สู้รบกับกองกำลังทหารของทางการ จนได้ชัยชนะบ้าง และแพ้บ้าง แต่ในที่สุด Zapata ก็ถูกเพื่อนหักหลัง และถูกสังหารในปี 1919 แม้ Zapata จะตายไป แต่ชาวเม็กซิกัน ณ เวลานั้นกลับคิดว่า เขายังไม่ตาย เพียงแต่ได้หลบหนี และจะกลับมาต่อสู้อีก สำหรับศพที่ทางการอ้างนั้น มิใช่ศพของ Zapata แต่เป็นศพปลอม
บริเวณเบื้องหลังทางซ้ายของลูกโป่งสวรรค์ คือภาพของประธานาธิบดีเม็กซิโก 3 คน คนแรกชื่อ Benito Juarez ซึ่งได้ปกครองประเทศตั้งแต่ปี 1858-1872 ในมือของท่านประธานาธิบดีมีเอกสารรัฐธรรมนูญ คนที่ยืนหลับตา และมีเหรียญประดับเต็มหน้าอก คือ Porfirio Diaz ซึ่งได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมานานกว่า 30 ปี ก่อนถูก Francisco Madero ทำรัฐประหาร Madero คือคนที่ยืนข้างหลัง Diaz และมือข้างหนึ่งจับปีกหมวก เบื้องหน้าของเขามีหญิงชาวอินเดียนที่แต่งกายในชุดกระโปรงสีเหลืองและยืนท้าวสะเอว เบื้องหลังของ Diaz เป็นบอลลูนขนาดใหญ่ที่มีอักษร RM ซึ่งย่อมาจาก Republica Mexicana
สำหรับ Francisco Madero นั้นก็เป็นนักปฏิวัติเช่นเดียวกับ Zapata แต่มาจากพื้นฐานของครอบครัวที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะครอบครัวของ Madero มีฐานะร่ำรวยจากการทำธุรกิจ ทั้งธนาคาร ที่ดิน และอุตสาหกรรม เพราะ Madero เป็นคนที่เห็นอกเห็นใจคนยากไร้ จึงแอบร่วมมือกับทหารบางคนและเจ้าของที่ดินเพื่อต่อต้านประธานาธิบดีเผด็จการ Porfirio Diaz ในที่สุด Madero ก็โค่นล้มรัฐบาลของ Diaz ได้สำเร็จ และจับ Diaz ขังคุก แม้ Madero จะทำให้บ้านเมืองสงบและประชาชนเป็นสุขขึ้น แต่คนจนก็ยังมีความเป็นอยู่อย่างลำบาก และการปกครองระบอบประชาธิปไตยของประเทศก็ยังไม่มั่นคง เมื่อ Diaz หลบหนีออกนอกประเทศ ในปี 1911 Madero จึงได้สถาปนาตนขึ้นเป็นประธานาธิบดี และเวนคืนที่ดินให้คนจน แต่ชนชั้นสูงไม่ชอบการกระทำนี้เลย จึงออกมาต่อต้าน ในที่สุด เมื่อ Madero ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ จึงถูกทหารจับตัว ขณะถูกนำตัวเข้าคุก เขาถูกองครักษ์ยิงตาย
Madero จึงเป็นประธานาธิบดีอีกคนหนึ่งของเม็กซิโกที่พบจุดจบอย่างโหดร้ายทารุณ สำหรับการบรรยายเหตุการณนี้ Rivera ได้วาดภาพเปลวเพลิงเป็นฉากหลัง เพราะตลอดเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของเม็กซิโก ตั้งแต่สมัยนายพล Cortes จนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 สังคมเม็กซิโกได้มีการต่อสู้กันตลอดเวลา และเมื่อผู้คนมีนิสัยไม่ชอบการแข่งขัน จึงไม่ขวนขวายจะต่อสู้กับอุปสรรคใดๆ แต่เมื่อถูกกองกำลังของคนของชนชั้นสูงบีบคั้น จึงได้ออกมาต่อสู้ โดยมี Zapata เป็นผู้นำ บริเวณแถวหน้าของภาพ แสดงตำรวจกำลังตะเพิดไล่ครอบครัวชาวอินเดียนออกจากสวนสาธารณะ และชายอินเดียนคนหนึ่งในภาพมีอารมณ์โกรธ จึงเอื้อมมือไปข้างหลังเพื่อคว้ามีดที่เหน็บอยู่ที่สะเอว
Rivera ได้นำเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของ Mexico มาวาด โดยเน้นให้เห็นความเป็นไปในการต่อสู้ของชาวอินเดียนเพื่อความเท่าเทียมกับชนชั้นสูง
คนที่ยืนทางด้านซ้ายของลูกโป่งในบริเวณกลางภาพ คือ Archduke แห่งออสเตรีย ผู้มีตาสีฟ้า ใบหน้าขาว หนวดเรียวโค้ง และไว้เครา ท่าน Archduke ได้รับการทูลเชิญให้เสด็จมาปกครองประเทศเพื่อความสงบสุขของประชาชนเม็กซิกันที่เพิ่งได้รับเอกราชจากสเปน และได้เดินทางถึงเม็กซิโกพร้อมภรรยาชื่อ Charlotte เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1864 แต่เมื่อไม่สามารถทำให้ชาวเมืองเปลี่ยนศาสนาไปนับถือคริสต์ศาสนาได้ ความวุ่นวายจึงเกิดขึ้นอีก และภายในเวลาเพียง 3 ปี หลังจากที่ขึ้นครองเม็กซิโก Archduke ก็ถูกประหารชีวิต
ผู้หญิงที่ยืนใกล้ท่านดยุคในภาพคือ Charlotte ซึ่งได้คลุ้มคลั่งเสียสติ ก่อนที่สามีของนางจะถูกนำตัวไปประหารชีวิตเพียง 2 สัปดาห์ หลังจากนั้นนางก็ถูกกักขังในโรงพยาบาลโรคจิต และเสียชีวิตในปี 1927
เมื่อ Rivera วาดภาพนี้เสร็จสมบูรณ์ ชาวเม็กซิกันจำนวนมากได้ออกมาเดินประท้วงว่าภาพทำให้สังคมแตกแยก เจ้าของโรงแรมจึงต้องสร้างกำแพงปิดกั้นไม่ให้ใครเห็นภาพเป็นเวลานานถึง 7 ปี
จิตรกร Diego Rivera เกิดเมื่อปี ค.ศ.1886 (รัชสมัยสมเด็จพระปิยมหาราช) เมื่ออายุ 22 ปี ได้เดินทางไปใช้ชีวิตในยุโรปเป็นส่วนใหญ่ เพราะที่นั่นคือศูนย์กลางของโลกศิลปะ ในเบื้องต้น เขาชอบวาดภาพแนว impressionism แล้วเปลี่ยนเป็น cubism เมื่อถึงปี 1911 จึงได้เริ่มวาดภาพติดฝาผนังในแนวพื้นเมือง และชอบภาพวาดแนวนี้มากจึงใช้ความสามารถที่มีในการวาดภาพการต่อสู้เพื่อจะให้สังคมของเม็กซิโกดีขึ้น
Rivera ไม่ต้องการให้ภาพวาดของเขาประดับอยู่ในพิพิธภัณฑ์หรือสถาบันศิลป์ใดๆ เขาต้องการให้ชาวเม็กซิกันจำนวนมากที่ไร้การศึกษาได้มีโอกาสซาบซึ้งในศิลปะ จึงวาดภาพ “Dream of Sunday Afternoon on Alamedea Park” บนผนังกำแพงเพื่อชาวเม็กซิกันทุกคน ขณะที่วาดภาพนี้ เขามีอายุ 60 ปีแล้ว จึงได้วาดภาพของสมาชิกในครอบครัวของเขาปะปนไปกับบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของเม็กซิโก ตลอดเวลา 400 ปีที่ผ่านมา
ภาพวาดของ Rivera ภาพนี้จึงเป็นมากกว่าภาพธรรมดา เพราะได้บอกและปลุกอารมณ์คนดูให้รู้ประวัติความเป็นมาของเม็กซิโก ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งได้จุดประกายให้ชาวเม็กซิโกทุกคนรักกัน และรักความเป็นเอกราชของชาติด้วย
Diego Rivera เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ.1957 ศพถูกฝังที่ Panteòn de Dolores ใน Mexico City
อ่านเพิ่มเติมจาก "What Great Paintings say" โดย Rose - Marie & Rainer Hagen จัดพิมพ์โดย Taschen, ปี 2000
เกี่ยวกับผู้เขียน
สุทัศน์ ยกส้าน
ประวัติการทำงาน - ภาคีสมาชิกราชบัณฑิตยสถาน และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์
ประวัติการศึกษา - ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
อ่านบทความ สุทัศน์ ยกส้าน ได้ทุกวันศุกร์