xs
xsm
sm
md
lg

มุก : อัญมณีจากท้องทะเล

เผยแพร่:   โดย: สุทัศน์ ยกส้าน

มุกจากทะเลสาบ Biwa ในญี่ปุ่น
ไม่มีใครรู้ชัดว่า ผู้ใดนำมุกมาใช้เป็นเครื่องประดับเป็นคนแรก แต่นักมานุษย์วิทยาหลายคนเชื่อว่า ชาวประมงอินเดียเมื่อเห็นเม็ดมุกในหอยว่าสวยและมีสีสุกใส จึงคิดนำมันมาสะสม จากนั้นผู้คนเริ่มรู้จักคุณค่าของมุกมากขึ้น เพราะมันมีความสวยงามตามธรรมชาติโดยมนุษย์ไม่จำเป็นต้องตกแต่งหรือเจียระไนเหมือนอัญมณีอื่นๆ

ในสมัยโบราณ มุกมีราคาแพงมากเพราะเป็นของหายาก จะมีก็แต่มหาราชา และจักรพรรดิที่ร่ำรวยเท่านั้นจึงจะสามารถมีมุกในครอบครอง คัมภีร์พระเวทของศาสนาพราหมณ์กล่าวถึงมุกว่าสามารถทำให้เจ้าของผู้สวมใส่มีอายุยืน กษัตริย์ Jahan แห่งอาณาจักร Mogul ผู้สร้างทัชมาฮาล ทรงประดับพระแท่นบรรทมด้วยมุก มหามงกุฎของพระเจ้าชาร์แห่งอิหร่านมีมุกประดับนับหมื่นเม็ด คัมภีร์กุรอ่านของศาสนาอิสลามกล่าวถึงถนนหนทางบนสวรรค์ว่ามีมุกสีสุกใสปูลาด และคนดีที่ได้ขึ้นสวรรค์นอกจากจะได้พำนักในเต็นท์ที่ทำด้วยมุกแล้ว ยังได้สวมมงกุฎมุกด้วย สังคมจีนและญี่ปุ่นโบราณยกย่องมุกว่ามีค่ายิ่งกว่าทองคำ และเชื่อว่ามุกถือกำเนิดในสมองของมังกร จึงสามารถใช้รักษาไข้ได้สารพัดชนิด เทพนิยายอินเดียกล่าวถึงเทพกฤษณะว่า ทรงมอบสร้อยมุกให้พระบุตรีในพิธีมงคลสมรสของนาง สำนวนอินเดียมีกล่าวว่า ดินให้ทับทิม น้ำให้มุก ลมให้รุ้ง และไฟให้อุกกาบาตแก่มนุษย์

ในปี 2444 นักโบราณคดีชื่อ J. De Morgan ได้ขุดพบเครื่องประดับที่ทำด้วยมุกซึ่งมีอายุมากที่สุดในโลกที่เมือง Susa แห่งอาณาจักร Persia ขณะนี้สร้อยที่มีมุก 216 เม็ด และมีอายุ 2,400 ปีนี้อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Louvre ในกรุงปารีส

ประวัติศาสตร์โรมันได้บันทึกว่า เมื่อทหารในกองทัพของนายพล Vitellius ประสบภาวะขาดแคลนอาหาร ท่านนายพลได้นำตุ้มหูมุกของมารดาไปขาย เพื่อได้เงินมาเลี้ยงทหารใต้บังคับบัญชา หนังสือ Historia Naturalia ที่ปราชญ์ Pliny ผู้เฒ่าเรียบเรียง ได้เล่าเหตุการณ์ที่พระนาง Cleopatra ที่ 7 แห่งราชวงศ์ Ptolemy ทรงเลี้ยงต้อนรับจอมทัพ Marc Antony แห่งอาณาจักรโรมันว่า พระนางได้เสวยมุกหลังพระกระยาหาร การเลี้ยงรับรองที่เล่าขานกันจนเป็นตำนานนี้ ได้ดลใจให้จิตรกร Giambasttista Tiepolo วาดภาพงานเลี้ยงดังกล่าวในปี 2289-2293 เพื่อให้ทุกคนในงานจ้องมองที่อุ้งพระหัตถ์ของพระนาง Cleopatra ซึ่งทรงถือมุกเม็ดใหญ่ และมีจอมทัพ Antony นั่งตรงข้ามกับพระนาง ส่วนบนโต๊ะเสวยมีจานเครื่องต้นที่บรรจุน้ำส้มสายชู เมื่อพระนางทรงปลดตุ้มพระกรรณมุกแล้วได้ทรงจุ่มมุกลงในน้ำส้มสายชูให้มันละลาย เพื่อทรงดื่ม การสำแดงความร่ำรวยและความสวยระดับไม่ธรรมดาของพระนาง ได้ทำให้จอมทัพ Antony รู้สึกประทับใจ และหลงใหลนางจนเป็นตำนานมาจนทุกวันนี้

แต่ในความเป็นจริง น้ำส้มสายชูที่เจือจางจะไม่สามารถละลายมุกได้เลย ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่าพระนาง Cleopatra มิได้ทรงดื่มน้ำส้มนั้น แต่ทรงซ่อนมุกไม่ให้ Marc Antony เห็น ซึ่งก็ได้ผลเพราะ Marc Antony รู้สึกประทับใจในความร่ำรวยของราชินีแห่งอียิปต์ผู้ทรงสุรุ่ยสุร่ายทำลายทรัพยากรธรรมชาติมูลค่ามหาศาล และผู้คนในงานเลี้ยงนั้นได้หลงคิดว่านางทรงดื่มน้ำส้มผสมมุกเหมือนดื่มน้ำธรรมดา

หนังสือ Natural History ของ Pliny ผู้ชรายังกล่าวถึงมุกในสมัยโรมันว่า มีค่ายิ่งกว่าเงินประมาณ 2 ล้านเท่า และจักรพรรดิ Caligula แห่งโรมทรงนิยมประดับมุกที่ฉลองพระบาท ส่วนจักรพรรดิ Nero ก็ทรงตกแต่งพระแสงดาบด้วยมุกเช่นกัน

กวี Homer ของกรีซเคยเขียนบันทึกว่า เมื่อกองทัพของจักรพรรดิ Alexander มหาราชบุกโจมตีเมือง Alexandria กรุง Babylon และกรุง Constantinople พระองค์ได้ทรงยึดมุกจำนวนมากไป

ในแง่วิทยาศาสตร์ นักชีววิทยาได้แบ่งมุกออกเป็นสองประเภท คือมุกธรรมชาติและมุกเลี้ยง โดยมุกธรรมชาติถือกำเนิดในตัวหอยมุกเอง จากการที่ตัวปรสิตในหอยเสียชีวิตลง หรือเวลาหอยมีเม็ดทรายขนาดเล็กเล็ดลอดเข้าไปขณะมันอ้าเปลือกหาอาหาร การมีสิ่งแปลกปลอมมากระแทกและทิ่มแทงเนื้อหอย ทำให้หอยรู้สึกระคายเคือง จึงขับน้ำเมือกที่มีสารประกอบ calcium carbonate ออกมาห่อหุ้มตัวปรสิต หรือเม็ดทรายขนาดเล็กนั้น จากนั้นเมือกจะแข็งตัวเป็นเนื้อมุกเข้าห่อหุ้มสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้น โดยการพอกพูนทีละชั้นๆ

การวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของมุก ทำให้นักวิทยาศาสตร์รู้ว่าองค์ประกอบหลักของมุกคือ calcium carbonate (แร่ aragonite และ calcite) ในปริมาณตั้งแต่ 82-92 เปอร์เซ็นต์, น้ำ 2-4 เปอร์เซ็นต์ conchiolin 4-14 เปอร์เซ็นต์ และสิ่งสกปรกต่างๆ ส่วนมุกบริสุทธิ์มีความหนาแน่นสัมพัทธ์ตั้งแต่ 2.61-2.78 การมีความหนาแน่นสัมพัทธ์สูงกว่า 1 เช่นนี้ มุกจึงจมน้ำ มุกมีดัชนีหักเหตั้งแต่ 1.530-1.685 และเวลาได้รับความร้อนมาก มุกอาจแตกหรือเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาล สารละลายที่เป็นกรด เช่น เหงื่อ เครื่องสำอาง หรือน้ำหอมสามารถทำลายเนื้อมุกได้ นักอัญมณียังได้พบอีกว่า ตามปกติความสุกใสแวววาวของมุกขึ้นกับอุณหภูมิ องค์ประกอบของน้ำที่มันถือกำเนิด อาหารที่หอยกิน และสุขภาพของหอยด้วย

โดยทั่วไป เรามักพบมุกธรรมชาติในหอยกาบเดี่ยวและกาบคู่ เช่น หอยนางรม และหอย abalone เป็นต้น หอยเหล่านี้ชอบอาศัยในน้ำลึก ดังนั้นนักเก็บหอยมุกจะต้องดำน้ำลงไปถึงระดับลึกตั้งแต่ 10-12 เมตร เพื่อเก็บหอยใส่ตะกร้า และเมื่อได้หอยแล้ว เขาก็จะกระตุกเชือกให้คนบนเรือดึงตะกร้าขึ้นไป ในการดำน้ำลงและคืนกลับสู่ผิวน้ำอีกครั้งหนึ่งนี้ ต้องใช้เวลาไม่เกิน 2 นาที เพราะถ้านานกว่านั้นคนดำน้ำจะเสียชีวิต หลังจากได้สูดอากาศเหนือน้ำนานประมาณ 5-10 นาทีแล้ว เขาก็จะดำน้ำลงไปเก็บหอยอีก ด้วยวิธีนี้ นักเก็บหอยมุกจะดำน้ำเก็บหอยได้อย่างมากประมาณวันละ 40 ครั้ง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะได้มุก 40 เม็ด เพราะหอยบางตัวไม่มีมุกแม้แต่เม็ดเดียว

เมื่องานงมหอยมุกเป็นงานที่หนักและเสี่ยงชีวิตเช่นนี้ เช่น คนงมอาจจมน้ำตายเพราะหมดแรง จึงมีคนคิดหาวิธีเลี้ยงมุก เพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ และนี่ก็คือวิธีการที่ชาวจีนโบราณคิดใช้เมื่อ 700 ปีก่อน แต่เทคโนโลยีการทำมุกเลี้ยงของจีน ไม่เป็นที่ล่วงรู้ในสังคมภายนอก เพราะสังคมจีนเป็นสังคมปิดที่ไม่นิยมถ่ายทอดวิทยายุทธให้คนภายนอกรู้ ด้วยเหตุนี้ธุรกิจมุกเลี้ยงจึงไม่แพร่หลาย จนกระทั่งปี 2436 เมื่อ Kochiki Mikimoto นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นพบวิธีกระตุ้นให้หอยนางรมขับสารมุกออกมา

ถึงวันนี้ เรามีเทคนิคการเลี้ยงมุกที่สำคัญสองวิธี คือ การเลี้ยงในน้ำเค็มที่นิยมใช้ลูกปัดกลมซึ่งทำจากเปลือกหอยหรือเนื้อชิ้นเล็กๆ ฝังลงที่รังไข่ของหอย ซึ่งจะสร้างความระคายเคืองจนหอยต้องขับน้ำมุกออกมาเคลือบ มุกเลี้ยงนี้มีรูปกลม และสำหรับวิธีที่สองคือ การเลี้ยงในน้ำจืด ซึ่งใช้เนื้อเยื่อขนาดเล็กของหอยน้ำจืดตัวอื่นฝังลงในเนื้อเยื่อของหอยที่ต้องการให้ขับเมือกมุกออกมา มุกที่เลี้ยงด้วยวิธีนี้มักมีขนาดเล็ก และไม่กลม

ตามปรกติหลังจากที่ได้ฝังเนื้อเยื่อหรือสิ่งแปลกปลอมในตัวหอยแล้ว คนเลี้ยงมุกจะนำหอยใส่ลงในกรงลวดเพื่อนำไปเลี้ยงในทะเลที่ระดับลึก 2-3 เมตร โดยเอากรงเล็กที่มีหอยอยู่ภายในนี้ผูกติดกับทุ่น เมื่อครบ 7 วัน คนเลี้ยงหอยมุกก็จะพลิกกรงครั้งหนึ่งเพื่อให้หอยหลั่งเมือกมุกออกมาอย่างสม่ำเสมอ และตลอดเวลาที่เลี้ยง เขาต้องคอยเติมอาหารให้หอยกินอย่างเพียงพอ อีกทั้งต้องคอยระวังไม่ให้กรงหอยถูกคลื่นซัดกระแทกอย่างรุนแรง และต้องคอยควบคุมให้กระแสน้ำไหลหล่อเลี้ยงตัวหอยอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงต้องคอยกำจัดมลพิษในน้ำด้วย เพื่อให้ได้มุกที่มีคุณภาพดีที่สุด

สำหรับระยะเวลาที่เลี้ยงนั้น นักเลี้ยงมุกพบว่าเวลา 4 ปีเป็นเวลาที่เหมาะที่สุด แต่ทุกวันนี้เทคโนโลยีชีวภาพได้ย่นระยะเวลาเลี้ยงเหลือเพียง 1 ปี 6 เดือน คนเลี้ยงก็จะได้เม็ดมุกที่มีขนาดใหญ่เพียงพอกับความต้องการแล้ว

ตลาดมุกถือว่ามุกสีชมพูและสีครีมเป็นมุกที่ดีและมีค่ามาก สำหรับเกณฑ์การดูมุกนั้น นักอัญมณีมีความเห็นว่า มุกที่ดีต้องมีความวาวสูง ซึ่งจะเกิดในมุกที่หนามาก ส่วนผิวเม็ดมุกที่เรียบไร้รอยตำหนิใดๆ ก็เป็นคุณภาพที่พึงประสงค์เช่นกัน คุณสมบัติด้านสีก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะมุกเลี้ยงอาจมีหลายสี เช่น ขาว เหลือง เขียว ชมพู แดง ดำ เหลือง เทา เงินปนเหลือง เหลือง-เขียว เทาปนชมพู อย่างไรก็ตาม ตลาดมุกถือว่ามุกดำเป็นมุกหายากที่สุด

การสำรวจตลาดซื้อ-ขายมุกยังทำให้เรารู้อีกว่า คนญี่ปุ่นชอบมุกเหลือง คนอเมริกันอังกฤษชอบมุกขาว คนเอเชียชอบมุกชมพูหรือสีกุหลาบ ส่วนคนอาหรับชอบมุกสีครีม

ในการเก็บรักษามุก ผู้เชี่ยวชาญมุกแนะนำให้เก็บมุกในกระเป๋าผ้า เพื่อลดการเสียดสีระหว่างเม็ดมุกกับภาชนะเก็บ และไม่ควรเก็บมุกรวมกับอัญมณีอื่น เพราะเนื้อมุกนิ่มกว่า จึงอาจถูกรัตนชาติอื่นขีดข่วนจนผิวเป็นริ้วรอยมลทินได้ เวลาทำความสะอาดมุก เจ้าของไม่ควรใช้ผงซักฟอก เพราะเนื้อมุกจะถูกกรดกัด แต่ควรใช้น้ำอุ่นหรือน้ำสบู่ที่เจือจางมากชำระสิ่งสกปรกที่เคลือบมุกอยู่ จากนั้นใช้ผ้านิ่มหรือสำลีเช็ดจนมุกไม่ชื้น เจ้าของมุกไม่ควรให้มุกถูกสเปรย์หรือใช้น้ำหอมฉีด เพราะสารเคมีในแอลกอฮอล์จะทำลายผิวมุก

สำหรับวิธีเลือกซื้อมุก ผู้สันทัดกรณีได้ให้ข้อคิดว่า ขึ้นกับความต้องการและกำลังทรัพย์ เพราะบางคนชอบมุกลักษณะกลม บางคนชอบมุกรูปไข่ บ้างก็ชอบมุกรูปหยดน้ำ แต่ในทัศนะของผู้เชี่ยวชาญ มุกที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางยาวตั้งแต่ 7-10 มิลลิเมตร เป็นมุกที่ดูงามที่สุด

มุกงามกับผู้หญิงสวยเป็นของคู่กัน เมื่อครั้งที่ Elizabeth Taylor แสดงภาพยนตร์เรื่อง Cleopatra สามีของเธอที่ชื่อ Richard Burton ได้ซื้อมุกนามว่า La็็ Peregrina ที่ถือกำเนิดในทะเลปานามาเมื่อ 500 ปีก่อน มามอบเป็นกำนัลแด่เธอ

แต่ถึง Elizabeth Taylor ผู้วายชนม์ไปเมื่อวันที่ 22 มีนาคมศกนี้ จะไม่มีมุกในครอบครอง เธอก็ยังเป็นผู้หญิงสวยที่มีจิตใจสวยอยู่ดี

คุณหาอ่านเรื่องนี้เพิ่มเติมได้จากหนังสือ Pearls: American Museum of Natural History Pearls: A Natural History Companion Volume Abrams ราคา 49.50 ดอลลาร์

สุทัศน์ ยกส้าน เมธีวิจัยอาวุโส สกว.

"หนังสือ สุดยอดนักฟิสิกส์โลก โดย ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน
มีจำหน่ายแล้วตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป ในราคา 220 บาท"

ภาคตัดขวางของมุก ขยาย 60 เท่า แสดงให้เห็นชั้นผลึกที่พอกเป็นชั้นๆ
กำลังโหลดความคิดเห็น