โลกมีนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะหลายคนที่เป็นคนร่าเริง เปิดเผยและชอบเป็นบุคคลสาธารณะ เช่น Richard Feynman และ Edward Wilson แต่ John Bardeen กลับมีลักษณะตรงกันข้าม เพราะ Bardeen ชอบความสงบ นิสัยอ่อนน้อมและไม่โอภาปราศรัยมาก ทั้งๆ ที่เคยได้รับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ถึง 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกรับร่วมกับ William Shockley และ Walter Brattain ในปี 2498 จากผลงานการประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์ ซึ่งนับว่ายิ่งใหญ่และสำคัญพอๆ กับการสร้างเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเครื่องแรกของโลก และครั้งที่สองรับร่วมกับ Leon Cooper และ Robert Schrieffer ในปี 2515 จากการสร้างทฤษฎีตัวนำยวดยิ่ง (superconductor) ซึ่งมีผลกระทบกว้างไกลโดยเฉพาะในงานพัฒนาเทคโนโลยี
Bardeen เกิดเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2451 ที่เมือง Madison ในรัฐ Wisconsin ของอเมริกา ในครอบครัวที่อบอุ่นและอุดมด้วยวิชาการ เพราะบิดาเป็นคณบดีแพทยศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัย Wisconsin - Madison ส่วนมารดาเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัย Chicago เมื่ออายุ 11 ปี Bardeen ต้องกำพร้ามารดา Bardeen สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาเมื่ออายุ 15 ปี จากนั้นได้เข้าเรียนวิศวกรรมไฟฟ้าที่มหาวิทยาลัย Wisconsin - Madison และได้เรียนวิชากลศาสตร์ควอนตัมกับ John Van Vleck (รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ปี 2520) Peter Debye (รางวัลโนเบลสาขาเคมีปี 2479) Werner Heisenberg (รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ปี 2475) และ Paul Dirac (รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ปี 2476) Bardeen ต้องใช้เวลานานถึง 5 ปี จึงสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีและโท ทั้งนี้เพราะตัดสินใจไม่ได้ว่าต้องการจะเชี่ยวชาญฟิสิกส์ หรือวิศวกรรมไฟฟ้า หรือคณิตศาสตร์กันแน่ แต่ในที่สุดเมื่ออายุ 20 ปี ก็ได้รับปริญญาตรีและโทสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า
จากนั้นได้เข้าทำงานที่บริษัท Gulf Oil Co. ที่เมือง Pittsburgh แต่ทำงานได้ไม่นานก็รู้สึกเบื่อ จึงสมัครไปเรียนปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัย Cambridge แต่มหาวิทยาลัยปฏิเสธที่จะรับ จึงได้เข้าศึกษาปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัย Princeton แทน โดยมี Eugene Wigner (รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ปี 2506) เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาในการทำวิทยานิพนธ์ เมื่อสำเร็จการศึกษา Bardeen ได้รับตำแหน่งนักวิจัยหลังปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัย Harvard และเริ่มชีวิตอาจารย์เมื่ออายุ 30 ปีที่มหาวิทยาลัย Minnesota พร้อมกันนั้นก็ได้เข้าพิธีสมรสกับ Jane Maxwell
เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 Bardeen ได้เป็นหัวหน้าฝ่ายวิจัยของ Naval Observatory ที่ Washington D.C. และมีผู้ใต้บังคับบัญชา 90 คน หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 Bardeen ได้งานใหม่เป็นนักวิจัยที่ Bell Laboratories ที่ Murray Hill เพราะ Bell Laboratories ให้เงินเดือนสูงกว่ามหาวิทยาลัย โดยได้รับมอบหมายให้พัฒนาประสิทธิภาพของหลอด triode เพื่อใช้แทนหลอดสุญญากาศในวงจรไฟฟ้า และได้ทำงานร่วมกับ Walter Braittain ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2490 คนทั้งสองกับ William Shockley ได้พบว่า amplifier ที่คนทั้งสามประดิษฐ์สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพดีกว่าหลอดสุญญากาศถึง 100 เท่า นี่คือ การสร้างทรานซิสเตอร์ และผลของการค้นพบนี้ ทำให้ Bardeen ต้องเดินทางไป Stockholm ในปี 2498 เพื่อร่วมรับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์รางวัลแรก ภรรยาของ Bardeen ได้เล่าเหตุการณ์วันที่ Bardeen ประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์ได้ว่า ในเย็นวันนั้นเมื่อจอดรถเรียบร้อย ขณะจะรับประทานอาหารเย็น Bardeen ได้ปรารภเพียงว่า วันนี้ได้พบอะไรบางอย่าง แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ ว่า สิ่งนั้นคืออุปกรณ์ที่นำโลกเข้าสู่ยุคสารสนเทศ
ในปี 2494 Bardeen ได้รับตำแหน่ง ศาสตราจารย์ฟิสิกส์แห่งมหาวิทยาลัย Illinois ที่ Urbana Champaign และเริ่มสนใจปรากฏการณ์สภาพนำยวดยิ่ง ที่ Heike Kammerlingh Onnes ได้พบเมื่อ 38 ปีก่อน และยังไม่มีใครสามารถอธิบายสาเหตุการเกิด และสมบัติต่างๆ ของสารประหลาดนี้ได้ Bardeen จึงนำ Leon Cooper ผู้มีความรู้และความสามารถด้านทฤษฎีควอนตัมกับ Robert Schrieffer ผู้กำลังทำปริญญาเอกฟิสิกส์มาวิจัยปัญหานี้ร่วมกัน จนในที่สุดคนทั้งสามก็ประสบความสำเร็จในการสร้างทฤษฎีที่สามารถอธิบายปรากฏการณ์สภาพนำยวดยิ่งได้ ทฤษฎีนี้จึงมีชื่อว่า ทฤษฎี BCS ตามอักษรนำของชื่อ Bardeen, Cooper และ Schrieffer และเมื่อคำทำนายทุกประเด็นของทฤษฎีนี้ได้รับการยืนยันโดยการทดลองว่าถูกต้อง Bardeen, Cooper และ Schrieffer ก็ได้เดินทางไป Stockholm อีกครั้งหนึ่งเพื่อรับรางวัลโนเบล สำหรับการสร้างผลงานฟิสิกส์ทฤษฎีที่ยิ่งใหญ่ ภรรยาของ Bardeen ได้เล่าเหตุการณ์วันที่สามีเธอสร้างทฤษฎีสภาพนำยวดยิ่งสำเร็จว่า Bardeen กล่าวสั้นๆ และเรียบๆ ว่า วันนี้เราสามารถอธิบายปรากฏการณ์สภาพนำยวดยิ่งได้แล้ว
คำถามหนึ่งที่ผู้คนมักสงสัย คือ การค้นพบใดยิ่งใหญ่กว่ากันระหว่างทรานซิสเตอร์กับทฤษฎีสภาพนำยวดยิ่ง ซึ่งคำตอบก็มีว่าการค้นพบทรานซิสเตอร์ได้เปลี่ยนแปลงสังคมมากกว่าทฤษฎีตัวนำยวดยิ่ง แต่ถ้ากล่าวถึงผลกระทบเชิงความรู้แล้ว ทฤษฎี BCS มีผลกระทบต่อวงการฟิสิกส์มากกว่า
เมื่อเร็วๆ นี้ Lilian Hoddeson และ Vicki Daitch ได้เรียบเรียงหนังสือชื่อ True Genius: the Life and Science of John Bardeen, the Only Winner of Two Nobel Prizes in Physics หนังสือราคา 27.95 ดอลลาร์ จัดพิมพ์โดย Joseph Henry Press ISBN 0-309-08408-3 ได้เปิดเผยชีวิตของนักฟิสิกส์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องฟิสิกส์ของแข็งผู้หนึ่งซึ่งมีความสามารถระดับอัจฉริยะให้โลกรู้จัก เช่น ว่า Bardeen เป็นครูที่ดีมาก เพราะคอยดูแลและให้คำแนะนำศิษย์อย่างสร้างสรรค์ โดยแนะให้นิสิตแบ่งแยกปัญหาใหญ่ออกเป็นส่วนเล็กๆ ก่อน เพื่อให้คณิตศาสตร์ที่ต้องการใช้ในการแก้ปัญหาไม่ยากมาก และทำให้สามารถหาคำตอบได้ง่าย จากนั้นให้พิจารณาปัญหาที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น จนถึงระดับที่ใกล้เคียงสถานการณ์จริงในที่สุด
หนังสือเล่มนี้ยังเล่าสภาพการทำงานของนักวิจัยที่ Bell Lab. ซึ่ง Bardeen ได้เคยปฏิบัติงานครั้งหนึ่ง และได้เล่าความแตกต่างระหว่างนักวิทยาศาสตร์อเมริกันกับนักวิทยาศาสตร์ยุโรปที่ทำงานในมหาวิทยาลัย Princeton ว่า Einstein กับ Wigner ชอบดื่มกาแฟ แต่ Bardeen ชอบเล่นโบล์ลิ่ง กับไพ่บริดจ์มากกว่า Einstein กับ Wigner ชอบฟิสิกส์ทฤษฎี แต่ Bardeen ชอบฟิสิกส์ประยุกต์ เขาจึงได้ทำงานวิจัยในบริษัทเอกชน เช่น Xerox Corporation และ Sony เป็นต้น
โดยสรุป หนังสือเล่มนี้สามารถอธิบายได้อย่างละเอียดว่า Bardeen นอกจากจะเป็นอัจฉริยะผู้มีผลงานด้านวิศวกรรมไฟฟ้า คณิตศาสตร์ฟิสิกส์ทฤษฎีแล้ว ยังเป็นนักวางนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมรวมถึงเป็นนักกอล์ฟ ผู้มีความเพียรพยายาม มีแรงดลใจ ความมุ่งมั่น ความสามารถ ความมั่นใจและความเชี่ยวชาญมาก ถึงระดับที่ทำให้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ถึง 2 ครั้ง เขาจึงเป็นนักฟิสิกส์เพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่ทำได้สำเร็จระดับนี้
Bardeen จากโลกไปเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2534 ขณะอายุ 82 ปี โดยทิ้งบุตรสามคน และถึงแม้จะมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดีในวงการฟิสิกส์ แต่คนทั่วไปจะไม่รู้จักเขา ทั้งนี้เพราะ Bardeen ไม่มีบุคลิกแปลกๆ ดังเช่น Einstein หรือเป็นคนเปิดเผยเหมือน Feynman และไม่ใจลอยเหมือน Archimedes หรือเป็นจิตเภทแบบ Nash
สุทัศน์ ยกส้าน เมธีวิจัยอาวุโส สกว.