กรุงโรมในอิตาลีมีประติมากรรม จิตรกรรม และสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่และสำคัญมากหลายชิ้น เช่น สะพาน Ponte Sant Angelo ที่มีรูปปั้นเทพธิดาเรียงราย เสมือนนำนักธุดงค์ให้เดินทางไปมหาวิหาร St. Peter's รูปปั้น Apollo and Daphe ซึ่งอยู่ที่ Galleire Borghese และ Ecstasy of St. Teresa ซึ่งอยู่ที่ Santa Maria Della Vittoria น้ำพุ Fountain of the Four Rivers ที่จัตุรัส Navona และน้ำพุ Triton ที่จัตุรัส Baberini เป็นต้น ผลงานเหล่านี้คืองานสร้างสรรค์ของ Gian Lorenzo Bernini คนเดียว จนเราอาจกล่าวได้ว่า โรมคือ พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงผลงานของ Bernini เพราะอัจฉริยะท่านนี้มีพรสวรรค์ครบทั้ง 3 ด้าน คือ สถาปัตยกรรม จิตรกรรมและประติมากรรม ที่ยิ่งใหญ่จนทำให้ได้รับการยกย่องว่าเป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 17
G. L. Bernini เกิดเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2141 (รัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช) ที่เมือง Naples ในอิตาลี บิดาชื่อ Pietro ผู้มีอาชีพเป็นประติมากรที่มีชื่อเสียงประจำสำนักวาติกัน และเป็นคนที่คาร์ดินัล Scipione Borghese โปรดปรานมาก และการที่คาร์ดินัลเป็นพระนัดดาในสันตะปาปา Paul V ผู้มีอำนาจและร่ำรวยที่สุดในโรมในสมัยนั้น ทำให้คาร์ดินัล Scipione สามารถซื้องานประติมากรรมที่มีค่ามาครอบครองได้เป็นจำนวนมาก และ Scipione ก็ได้ว่าจ้างศิลปินไม่ว่าจะเป็นจิตรกรหรือประติมากรให้มาซ่อมและทะนุบำรุงโบราณวัตถุที่ปรักหักพังด้วย เพราะโปรดการสะสมงานประติมากรรมมาก
ด้วยเหตุนี้ Pietro จึงได้มีโอกาสทำงานถวายสันตะปาปา Paul V เนืองๆ เพราะบิดาเข้าใจ และสนับสนุนลูกดี Gian Lorenzo จึงเริ่มทำงานประติมากรรม โดยได้รับการถ่ายทอดจากบิดาโดยตรง ตั้งแต่อายุ 7 ขวบ และทุกคนก็เริ่มประจักษ์ในความสามารถแกะสลักและปั้นรวมถึงความคิดในการออกแบบรูปปั้นของ Gian Lorenzo ที่มักจัดลีลาของรูปที่ปั้นให้มีชีวิตชีวา Gian Lorenzo เรียนและฝึกกับบิดาอย่างเข้มแข็งและจริงจัง และบิดาได้ให้ Gian Lorenzo เดินทางไปสังเกตสไตล์การปั้นของประติมากรคนอื่นๆ ที่กรุง Vatican และที่พิพิธภัณฑ์อื่นๆ ด้วย ประสบการณ์เช่นนี้ได้ทำให้ Gian Lorenzo เรียนรู้งานคลาสสิกต่างๆ แล้วนำมาดัดแปลงโดยเพิ่มสไตล์ของตนเอง
ดังเช่น เมื่อมีการขุดพบรูปปั้นชื่อ Hermaphrodite ใกล้ตำบล Termini ใน Rome ทันทีที่รู้ข่าว คาร์ดินัล Scipione ก็ได้ซื้อรูปปั้นนั้น และจ้าง Gian Lorenzo ให้ออกแบบพรมที่รูปปั้นนอนทับอยู่ เพราะ “พรมเดิม” ได้แตกหักจนหมดสิ้นแล้ว Gian Lorenzo Bernini จึงออกแบบพรมใหม่ เมื่อเสร็จทุกคนก็ได้เห็นพรมที่ทำด้วยหินอ่อน ซึ่งดูนุ่ม หลังจากนั้นความเป็นอัจฉริยะของ Bernini ก็เพิ่มขึ้นๆ เมื่อถึงวัย 20 ปี ความสามารถในการปั้นและการแกะสลักของ Bernini ก็ขึ้นถึงจุดสูงสุดโดยได้แกะสลักและปั้นรูปในเทพนิยายกับคัมภีร์ เช่นรูป Aeneas, Anchises and Ascanius และรูป David ซึ่งแตกต่างจาก David ของ Michelangelo มาก เพราะ Bernini ได้ออกแบบให้ David ยืนตัวเอียงเล็กน้อยในลักษณะพร้อมจะเหวี่ยงก้อนหินใส่ยักษ์ Goliath (ซึ่งไม่อยู่ในที่นั้น) โดย Bernini ได้ปั้นหน้าของ David ให้ละม้ายคล้ายหน้าของตนเอง
เมื่ออายุ 24 ปี Bernini ได้ปั้นรูป Rape of Proserpine ถวายคาร์ดินัล Ludovico ซึ่งรูปนี้ได้ทำให้ทุกคนประหลาดใจที่ Bernini ได้ปั้นให้พระหัตถ์ของเทพเจ้าฉุดคร่าผู้หญิง และอีก 3 ปีต่อมาเขาก็ได้ปั้นรูป Apollo and Daphne ซึ่งแสดง Daphne ในอาการตกใจที่มือเธอมีกิ่งไม้งอกออกมา และเธอกำลังตระหนักว่า เธอกำลังกลายเป็นต้นไม้ ตามเทพนิยายชื่อ Metamorphosis ของ Ovid ที่เล่าว่า เมื่อ Apollo ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งแสงสว่างทรงดุ Eros (กามเทพ) ว่าไม่สมควรเล่นอาวุธของผู้ใหญ่ Eros รู้สึกโกรธ จึงแก้แค้น โดยการยิงศรทองคำปักอก Apollo ให้หลงรัก Daphne ผู้ได้สาบานว่า จะครองตัวเป็นโสดจนตลอดชีวิต และในขณะเดียวกัน Eros ก็ได้แผลงศรเงินปักอก Daphne ไม่ให้รัก Apollo ตอบ และเมื่อนางถูก Apollo ตามตื้อ นางจึงได้ทูลขอพระบิดาผู้เป็นเทพแห่งแม่น้ำให้ทำลายความงามของนาง พระบิดาจึงสาปนางให้เป็นต้นไม้ทันทีที่ Apollo จะล่วงเกินรูปแกะสลักนี้ทำด้วยหินอ่อนที่ถึงจะเป็นหิน แต่ก็มีชีวิตชีวา เพราะอากัปกิริยาของนางไม้ที่กำลังจะกลายเป็นต้นไม้ ดูสมจริง
ผลงานเหล่านี้ล้วนสวยงาม และยิ่งใหญ่ จนทำให้ Bernini ได้รับการยอมรับว่า หลังจากที่ Michelangelo ตายไปแล้ว ก็ไม่มีใครแกะสลักหินอ่อนให้สวย และมีชีวิตชีวาได้ดีเท่า Bernini ซึ่งรูปประติมากรรมเหล่านี้ ล้วนสวย มีอารมณ์ตื่นเต้น และแฝงความเร่าร้อนทางเพศด้วย
สุทัศน์ ยกส้าน เมธีวิจัยอาวุโส สกว.