เขาเป็นคนไทยที่ทำงานในองค์การด้านอวกาศระดับโลกท่ามกลางสุดยอดนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรชั้นนำนับหมื่นคน มีประสบการณ์ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งยานสำรวจอวกาศแบบไม่มีคน เกือบ 30 ปีของการทำงานที่ได้เห็นการบริหารกิจการงานวิจัยในนาซา วันนี้ "ดร.ธวัช วิรัตติพงศ์ " หันกลับมาเสนอทิศทางบริหารองค์กรวิทยาศาสตร์ในบ้านเกิดบ้าง
ดร.ธวัช วิรัตติพงศ์ คนไทยที่มีโอกาสทำงานในองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐ(นาซา) ในตำแหน่งผู้จัดการโครงการออกแบบประกอบและติดตั้งเครื่องรับสัญญาณยานอวกาศจากนอกโลกของห้องปฏิบัติการจรวดขับดัน (Jet Propulsion Laboratory) โดยรับผิดชอบในส่วนของการผลิตงานแบบไม่มีคนออกไปสำรวจอวกาศ เช่น วอยเอจเจอร์ ดีพอิมแพ็ค มาร์สโรเวอร์ ยานที่สำรวจโลกหรือโอโซน เป็นต้น
นาซาให้ความสำคัญคนมี know-how
ทั้งนี้นาซามีหน่วยงานในสังกัดกว่า 10 แห่งซึ่งห้องปฏิบัติการที่ ดร.ธวัชทำงานอยู่นั้นแม้จะทำงานร่วมกับนาซามานานแต่เพิ่งรวมเข้ากัยนาซาอย่างเป็นทางการเมื่อไม่นานนี้ โดยก่อนนั้นขึ้นอยู่กับสถาบันเทคโนโลยีแห่งแคลิฟอร์เนีย (California Institute of Technology) หรือคาลเทค (Caltech) ส่วนผู้ที่ทำงานในนาซาล้วนมีอาชีพหลากหลายตั้งแต่ วิศวกร นักวิทยาศาสตร์ ช่างเทคนิค ธุรการ หรือแม้กระทั่งสื่อสารมวลชน แต่วิศวกรและนักวิทยาศาสตร์เป็นแกนหลักใหญ่
"ที่นั่นมีความคิดว่าทรัพ์สมบัติที่สำคัญที่สุดของนาซาไม่ใช่ตึกรามบ้านช่อง แต่ "คน" คือทรัพยากรที่สำคัญมาก คนที่รู้ know how (องค์ความรู้) รู้เทคโนโลยี คนที่มีความคิดสำคัญมาก การทำงานที่นั่นไม่มีเรื่องอาวุโส ไม่มีเพศ ไม่มีความคิดด้านการเมือง ไม่แบ่งแยก เกย์ เลสเบียนก็เป็นส่วนหนึ่งที่มีสิทธิเสรีภาพ ไม่แคร์เรื่องสัญชาติ เชื้อชาติ อายุ และไม่แคร์ว่าคุณจบจากที่ไหน" ดร.ธวัชพร้อมเผยว่าโชคดีที่ได้ทำงานกับคนเก่ง โดยเขาเข้าทำงานที่นาซาตั้งแต่ปี 2526 โดยขณะยื่นใบสมัครนั้นเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยในเท็กซัส
เชื่อนาซาไปดาวอังคารได้แน่
นาซาออกมาประกาศว่าจะกลับไปดวงจันทร์อีกครั้งหลังจากที่หลายชาติในแถบเอเชียอย่าง จีน ญี่ปุ่นและอินเดียประกาศไปเยือนดวงจันทร์พร้อมแสดงเป้าหมายที่สูงกว่าคือการส่งคนไปดาวอังคารซึ่งนาซาจะทำได้จริงได้หรือไม่ ดร.ธวัช ตอบอย่างมั่นใจว่าไปได้แน่ โดยตั้งเป้าว่าในปี 2563 ต้องกลับไปเยือนดวงจันทร์อีกครั้ง ส่วนดาวอังคารยังไม่กำหนดเวลาว่าจะเป็นเมื่อไหร่ซึ่งอาจจะเป็น 7-8 ปีหลังจากไปดวงจันทร์แล้วก็ได้
"เชื่อว่าไปได้แน่เพราะไปแบบไม่มีคนอยู่แล้ว ส่วนไปแบบมีคนต้องระมัดระวังมากขึ้น แต่ไปได้แน่ๆ" ดร.ธวัชกล่าวถึงการเดินทางไปดวงอังคารที่นาซาตั้งเป้าหมายไว้ พร้อมทั้งเผยถึงงบประมาณการวิจัยของนาซาว่าในส่วนขององค์กรที่เขาทำงานนั้นได้รับงบประมาณราว 4 หมื่นล้านบาทแต่ไม่แน่ใจว่าทั้งหมดเป็นเท่าไหร่ คาดว่าน่าจะประมาณ 5 แสนล้านบาท ซึ่งงบประมาณไม่เปลี่ยนแปลงมากนักแต่สูงขึ้นเล็กน้อยจากโครงการไปดวงจันทร์และดาวอังคารและเชื่อว่าหากสงครามอิรักสงบลงน่าจะได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้น
คดีรักสามเส้า "ลิซา โนแวก" ไม่สะเทือนคนในนาซา
อย่างไรก็ดีสำหรับปี 2550 นี้มีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับบุคลากรของนาซาซึ่งทำให้เสียภาพลักษณ์ขององค์กรพอสมควร โดยเฉพาะคดีรักสามเส้าของอดีตนักบินอวกาศหญิงแห่งนาซา "ลิซา โนแวก" (Lisa Nowak) แต่ ดร.ธวัชกล่าวว่าเรื่องดังกล่าวไม่มีคนสนใจเท่าไหร่นัก และมองเป็นเรื่องของละครน้ำเน่ามากกว่า เนื่องจากเข้าใจถึงความหลากหลายของคนที่มีอยู่ในองค์กรจำนวนมาก อีกทั้งเรื่องดังกล่าวก็ไม่เข้าใครออกใครและเป็นธรรมชาติของมนุษย์ หากแต่เรื่องคุกคามทางเพศถือเป็นเรื่องร้ายแรงขององค์กร
"คนอเมริกันชอบนาซา เขาสนับสนุนมาก เพราะคนอเมริกันชอบผจญภัย ชอบความท้าทาย และชอบทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน นาซาถือเป็นความภาคภูมิใจ" ดร.ธวัชกล่าวพร้อมเพิ่มเติมว่าคุณภาพของบุคลากรนั้นดีมากๆ เพราะส่วนใหญ่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสุดยอดของโลกที่สามารถหาได้ที่นาซา และเชื่อว่ามีคนไทยจำนวนมากทำงานที่นาซาได้อย่างสบาย
นักวิจัยไทยระวังเป็นกาฝากในสังคม
ย้อนกลับมามองที่มองที่เมืองไทย ดร.ธวัชกล่าวว่า 30-40 ปีที่ผ่านมาความสามารถของคนไทยถูกแช่แข็งไปมาก คนที่มีความสามารถต้องมาทำงานให้บริการ ซ่อมบำรุง เซลล์แมน ไปจนถึงการตรวจและกำหนดสเปกในการซื้อของ พร้อมยกตัวอย่างอาจารย์มหาวิทยาลัยบางคนมีประสบการณ์ 20-30 ปี แต่ต้องทำหน้าที่ซื้อขายรถในงานราชการ นับเป็นการสูญเสียเงินจำนวนมากของประชาชนซึ่งทำให้ประเทศยากจนและถอยหลัง เนื่องจากการลงทุนสร้างทรัพยากรบุคคลเหล่านั้นไม่ได้สร้างรายได้ให้ประเทศหรือสร้างงานให้กับรุ่นต่อๆ ไป
"เกาหลี จีน ไต้หวัน ลงทุนเป็นล้านล้านทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแล้วสร้างรายได้เลี้ยงประเทศ เอาเงินมาช่วยชาวบ้าน ชนชนบทให้มีถนนหนทางที่ดี สร้างสาธารณูปโภคให้ เพราะว่าชาวบ้านเลี้ยงคนเหล่านี้มา คนเหล่านี้ก็ต้องให้กับคืนไปด้วย และยังช่วยสร้างงานอย่างอื่นด้วย ไม่ว่างานโฆษณา ธุรการ สื่อสารมวลชน แต่เราไม่มี ที่เราอยู่ได้ก็เพราะผลิตผลทางการเกษตร การท่องเที่ยว การใช้แรงงาน ถึงเวลาแล้วที่ผู้บริหารระดับสูงต้องหันมามองว่าเรากำลังจะกลายเป็นกาฝากของสังคมโดยไม่รู้ตัว ตรงนี้ไม่ใช่ความผิดของนักวิจัยหรือนักวิชาการ เขาอยากทำ เขาอยากช่วย แต่ระบบหรือนโยบายของบนมันไม่ดี เลยลำบาก" ดร.ธวัชกล่าว
ทิศทางงานวิจัยไทยต้องง่าย-สร้างรายได้ให้ประเทศเพิ่มขึ้น
สำหรับทิศทางงานวิจัยของไทยต้องเริ่มเน้นที่ทำให้เกิดรายได้เข้าประเทศ เป็นลักษณะของการเพิ่มงาน งานวิจัยที่ทำให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ งานวิจัยที่สร้างงานและช่วยเศรษฐกิจของประเทศมากขึ้น และต้องครบวงจร ไม่ใช่นักวิจัยทำอย่างเดียวแต่ต้องศึกษาตลาดให้แน่ว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกทางหรือเปล่า ศึกษาการผลิตและการตลาด รวมถึงมีการบริหารจัดการที่ดี ไม่ใช่แค่วิจัยและพัฒนาแต่เป็นการบริหารจัดการวิจัยและพัฒนา
"เมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว ถ้าใครออกมาพูดว่า "ผมจะทำน้ำเกลือ" คงโดนหัวเราะว่าทำไมทำของง่ายๆ แต่ถ้าบอกว่าทำยาแก้ปวด ยาแก้มะเร็ง โอ้โห เท่ห์ คนเห็นยกนิ้วให้ แต่เคยทำได้หรือเปล่า ของจำเป็นคืออะไร น้ำเกลือ คิดว่าทำน้ำเกลือง่ายหรือ รู้หรือเปล่าถ้าทำในปริมาณมากๆ ทำยังไง ทำไมไม่ทำของพื้นๆ แล้วค่อยไต่ขึ้นไป จับของยากแล้วก็ล้ม เป็นศูนย์ แล้วก็จับของยากอีกก็ล้มอีก ตอนนี้ก็ไปจับนาโนเดี๋ยวก็ล้ม สูญเสียเม็ดเงินพวกเรา ไปจับดาวเทียมเดี๋ยวก็ล้ม ไปจับเครื่องสแกน 3 มิติเมื่อ 10 กว่าที่แล้วก็ล้ม ลุ้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างนี้ ลองทำมือถือให้ได้สิ ปีหนึ่งสั่งเข้ามาเท่าไหร่ เอาเข้าจริงก็ทำไม่ได้ ของยากก็ทำไม่ได้ ของกลางๆ ก็ทำไม่ได้"
หน่วยงานวิจัยต้องเน้นสร้างรายได้-ปล่อยมหาวิทยาลัยทำงานพื้นฐาน
ดร.ธวัชกล่าวว่างานวิจัยต้องช่วยเศรษฐกิจของประเทศด้วย เพราะนักวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของแรงงานประเทศ ไม่ใช่จะปล่อยให้ประเทศเลี้ยงตลอด ที่ผมพูดคือเป็นงานวิจัยแบบครบวงจรที่ทำให้เกิดรายได้แก่ประเทศ ซึ่งเรายังทำน้อยอยู่ ต้องทำงานวิจัยเป็นทีม สร้างผลิตภัณฑ์ออกมา ซึ่งเป็นการวิจัยและสร้างองค์ความรู้เหมือนกันเพราะมีกระบวนการให้ศึกษาเยอะแยะ ส่วนงานวิจัยพื้นฐานก็ยังคงต้องมีอยู่ ใครอยากอิสระก็มาวิจัยทางนี้ วิจัยสังคมก็จำเป็นเพื่อให้ข้อมูลแก่รัฐบาลและสังคมเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม
"แม้แต่นาซาก็ทำแบบนี้ ไม่ค่อยมีงานวิจัยพื้นฐาน เพราะงานวิจัยพื้นฐานจะอยู่ที่มหาวิทยาลัยเยอะ แต่ตอนนี้มันมั่วกันหมด ทั้ง สกว. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย) สวทช. (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) ทำอะไร สร้างนักวิจัย ช่วยเด็ก การศึกษาเด็ก กลายเป็นว่าทุกคนสร้างเด็กกันหมด เพราะมันง่าย ตอนนี้เราสร้างเด็กมา 30 ปีแล้ว แทนที่ สวทช. สกว.หรือหน่วยงานอื่นๆ จะเน้นหนักที่งานวิจัย เพราะอุตส่าห์แยกออกมาแล้ว ส่วนสอนเด็ก สร้างนักวิจัย สร้างงานวิจัยพื้นฐานปล่อยให้มหาวิทยาลัยจัดการ แล้วเอาคนที่สร้างแล้วมาทำงาน"
เตือนเสียเงินสร้างตึก 1.7 พันล้าน-ได้งานวิจัยลดลง
พร้อมกันนี้ ดร.ธวัชได้ยกกรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติให้สร้างตึกนวัตกรรมมูลค่า 1.7 พันล้านบาท ว่าจะทำให้ได้งานวิจัยน้อยลงเมื่อเอาเงินไปลงทุนกับการก่อสร้างจำนวนมากซึ่งเปรียบเหมือนการลงทุนสร้างวัง พร้อมยกตัวอย่างบริษัทที่มีนวัตกรรมชั้นนำระดับโลก อย่างเดลล์ (Dell) ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ยาฮู (Yahoo) และกูเกิล (Google) ว่าบริษัทใหญ่ๆ เหล่านั้นเริ่มต้นจากการทำงานในโรงรถ อพาร์ทเมนต์ และสถานที่ทำงานเล็กๆ
"ถ้าคุณสร้างวังนะเงินมันก็ทะลักเข้าไปตรงนั้น นักวิจัยที่จะสร้างงานก็น้อยลงเพราะคุณเอาเงินไปสร้างราชวังหมด แต่ละปีต้องจ้างคนเช็ดถู ค่าคนงาน ค่าน้ำ ค่าไฟอีก กวาดเข้าไปอีกหลายร้อยล้าน แล้วจะเหลือเงินอะไรมาทำงาน ไปรังสิตก็สร้างวังใหญ่เบ้อเร่อ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาทำแบบนั้น ถ้าคุณอยากจะทำเอาเงิน 40-50 ล้าน สร้างขนาดเล็กๆ ก่อน แล้วเอาเงินพันล้านมาทำงานดีกว่า สร้างโครงการได้นับพัน"
ไทยทำดาวเทียมได้แต่แค่ซื้อชิ้นส่วนประกอบ
นอกจากนี้ในฐานะที่ทำงานในองค์การอวกาศระดับโลกเขาให้ความเห็นกรณีของการสร้างดาวเทียมธีออสซึ่งเป็นดาวเทียมสำรวจทรัพยากรธรรมชาติดวงแรกของไทยที่ว่าจ้างให้ฝรั่งเศสผลิตให้และอยู่ระหว่างรอปล่อยขึ้นสู่วงโคจร และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกล่าวว่าการส่งทีมวิศวกร 20 คนไปอบรมที่โรงงานผลิตดาวเทียมจะช่วยให้ไทยสามารถผลิตดาวเทียมดวงต่อไปของตัวเองได้นั้นเป็นข้อแก้ตัวและใครๆ ก็รู้ว่าไม่จริง
การสร้างดาวเทียมมี 2 ระดับ ระดับแรกคือการซื้อชิ้นส่วนมาประกอบเหมือนซื้อคอมพิวเตอร์ ซึ่ง ดร.ธวัชกล่าวว่าไทยทำได้แต่ก็มีปัญหาที่ต้องส่งไปทดสอบต่างประเทศที่มีห้องทดสอบซึ่งเสียเงินเยอะ ดังนั้นในการซื้อดาวเทียมจึงไม่จำเป็นต้องส่งคนไปเรียน เพราะการออกแบบไม่ยาก ซื้อชิ้นส่วนมาประกอบเองได้ ไม่จำเป็นต้องร่างโครงการให้เสียเงิน 6-7 พันล้านบาท ส่วนอีกระดับคือออกแบบเอง ทำชิ้นส่วนเองและซื้อมาบางส่วน ซึ่งระดับนี้หมาะสำหรับประเทศอย่างในยุโรป อเมริกา จีน ญี่ปุ่น
"จำเป็นหรือเปล่าที่เราต้องสร้างดาวเทียม ไม่จำเป็น ทุกคนก็รู้ความคิดผมอยู่แล้ว เดี๋ยวนี้ซื้อภาพถูกกว่าเยอะ มีให้เลือกเยอะ มีคุณภาพ และเราไม่ต้องไล่ซื้อดาวเทียมใหม่อยู่เรื่อย ซื้อทำไมให้โง่" ดร.ธวัชกล่าว พร้อมแย้งข้ออ้างที่ว่าการมีดาวเทียมเปรียบเสมือนมีดวงตาของตัวเองว่า "ไม่เมกเซนส์" เนื่องจากกว่าดาวเทียมจะเข้ามาต้องใช้เวลาถึง 26 วัน
"ยังมีเรื่องพื้นฐานอย่างอื่นที่ควรคิดจะทำ อย่างเรื่องง่ายๆ เรื่องสมุนไพร อย่างทางด้านอวกาศก็เอาลงทุนสร้างงานให้เด็กในภาควิชาวิศวกรรมการบินและอวกาศของ ม.เกษตรศาสตร์ดีกว่า แต่เอาเงินไปทิ้ง 7-8 พันล้าน เด็กพวกนี้จบมาก็ไม่รู้ทำอะไร ผมว่าเป็นเรื่องการเมืองมากกว่า เพราะเขาอยากจะซื้อ ใครๆ ก็รู้ ผมมาจากแหล่งนี้ผมรู้ ดังนั้นเมื่อมาทำโครงการที่เมืองไทย ผมจึงเลือกทำของง่ายๆ ที่เราทำได้"
ทิ้งทวน รมต.วิทย์ต้องไม่ใช่นักวิชาการแต่ควรมีวิสัยทัศน์
สุดท้ายเขาได้กล่าวถึงคุณสมบัติของผู้บริหารหน่วยงานวิจัยนั้นจำเป็นต้องมีวิสัยทัศน์ รู้จักบริหารจัดการและเลือกใช้คน โดยต้องดูแลให้คนเก่งได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองเก่งและต้องทราบว่าใครเก่งแล้วดึงมาร่วมงานให้ได้ ทั้งต้องไม่คิดว่าตัวเองเก่งคนเดียว พร้อมชี้ปัญหาว่าปัจจุบันผู้บริหารหน่วยงานวิจัยมองไม่ออกว่าทำไมประเทศสิงคโปร์ มาเลเซียจึงไปไกลกว่าไทย และทำไมเด็กไทยสามารถไปแข่งขันได้ที่ 1 ของโลกแต่เมืองไทยยังล้าหลังกว่าชาติอื่น
"รัฐมนตรีวิทยาศาสตร์คนต่อไปไม่ควรจะเป็นนักวิชาการ พวกนี้แคบ มองเฉพาะเพิ่มองค์ความรู้ สร้างคน สร้างสถาบัน ดังนั้นไม่ควรเป็น ที่โน่น จะมาพูดว่าผมเก่ง ผมจบฮาวาร์ด เอ็มไอทีมา ไม่มีความหมายเลย เขาจะถามว่า 10 ปี 20 ปี คุณทำอะไรมา ถ้าคุณเก่งเอาไปเลยห้องแล็บเอาไปทำงานที่คุณเก่ง ผมไม่เอาคุณมาบริหารจัดการ มองภาพใหญ่ทั้งประเทศเพราะคนเหล่านี้วิสัยทัศน์แคบ"
ปัจจุบัน ดร.ธวัชมีโครงการวิจัยที่ทำในเมืองไทยเกือบ 30 โครงการ โดยได้ติดตามกับผู้ทำงานทุกวันผ่านอินเทอร์เน็ต อีเมลและโทรศัพท์ และเผยว่าใจเขาอยู่เมืองไทย ส่วนงานที่นาซานั้นเขาทำเพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัว