เอเยนซี/บีบีซีนิวส์/เมดิคอลนิวส์ทูเดย์ – รังแคและอาการคันหนังศีรษะเป็นปัญหากวนใจคนกว่าค่อนโลกมานาน แชมพูขจัดรังแคหลากหลายยี่ห้อก็ใช้ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง เพราะไม่สามารถกำจัดเชื้อราต้นเหตุให้หมดไปได้ แต่อาจไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปเมื่อนักวิจัยถอดรหัสดีเอ็นเอของเชื้อราสาเหตุของรังแคได้ และยังให้ประโยชน์ด้านเกษตรกรรมเป็นของแถม
นักวิจัยของพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล บิวตี (Procter & Gamble Beauty) บริษัทผลิตเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในครัวเรือน สามารถถอดรหัสดีเอ็นเอของเชื้อรา "มาลาสซีเซีย โกลโบซา" (Malassezia globosa) อันเป็นสาเหตุของรังแคและอาการคันหนังศีรษะกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรโลก รวมถึงการติดเชื้อในทารกแรกเกิดและโรคผิวหนังชนิดอื่นได้เป็นผลสำเร็จ
ผลสำเร็จครั้งนี้ ทำให้เข้าใจธรรมชาติและกลไกต่างๆ ของเชื้อรามากขึ้น เปิดทางสู่การพัฒนาแชมพูขจัดรังแคที่ให้ผลดีกว่าเดิม โดยได้รายงานผลการวิจัยลงในวารสารสมาคมวิทยาศาสตร์สหรัฐฯ (Proceedings of the National Academy of Science)
"การถอดจีโนมของเชื้อรามาลาสซีเซีย โกลโบซา ช่วยให้นักวิจัยได้ศึกษาและทำความเข้าใจกับปฏิกิริยาของเชื้อราชนิดนี้ต่อร่างกายของคนเรามากขึ้น และยังพบว่ามันสามารถสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศได้โดยที่ยังไม่เคยมีใครรู้มาก่อนเลยว่าเชื้อราชนิดนี้ทำได้" โธมัส ดอสัน (Thomas Dawson) หัวหน้าคณะวิจัยอธิบาย
เชื้อราชนิดนี้มียีนทั้งสิ้นประมาณ 4,285 ยีน ซึ่งน้อยกว่ายีนของคนราว 300 เท่า และโดยเฉลี่ยแล้วบนศีรษะแต่ละคนจะมีเชื้อรา มาลาสซีเซีย โกลโบซา อยู่ประมาณ 10 ล้านชีวิต
ทีมวิจัยพบว่าเชื้อราดังกล่าวสามารถปล่อยเอนไซม์กว่า 50 ชนิด ออกมาย่อยองค์ประกอบต่างๆ ที่อยู่ในเส้นผม และหนังศีรษะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอนไซม์ 8 ชนิด ที่อยู่ในกลุ่มเอนไซม์ไลเปส (lipase) ซึ่งเอนไซม์ต่างๆ ที่เชื้อราสร้างขึ้นชี้ทางให้นักวิจัยสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์รักษารังแคที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้
มาลาสซีเซีย โกลโบซา ไม่สามารถสร้างกรดไขมันที่จำเป็นต่อการดำรงชีพได้เอง จึงต้องอาศัยไขมันที่ร่างกายมนุษย์สร้างขึ้นแทน โดยมาลาสซีเซีย โกลโบซา ที่อาศัยอยู่บนผิวหนังของคนเราจะปล่อยเอนไซม์ไลเปสออกมาย่อย "ซีบัม" (sebum) ไขมันที่สร้างจากต่อมไขมันใต้ผิวหนัง (sebaceous gland) ให้กลายเป็นกรดโอเลอิค (oleic acid) ที่เชื้อราสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งกระบวนการนี้ทำให้เซลล์ผิวหนังเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติในผู้ที่ติดเชื้อได้ง่าย และเกิดเป็นรังแคในที่สุด
ทั้งนี้ ซีบัม มีคุณสมบัติที่ช่วยปกป้องผิวหนังและเส้นผมไม่ให้สูญเสียน้ำ จึงทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น แต่เมื่อซีบัมถูกย่อย ผิวหนังจึงแห้งแตกเป็นขุย
ก่อนหน้านี้ เคยมีรายงานมาแล้วว่า เชื้อราในสกุลมาลาสซีเซียเป็นสาเหตุของโรคหลายชนิด เช่น การติดเชื้อในทารกแรกเกิด โรคผิวหนังต่างๆ โรคทางเดินหายใจ และโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน
นอกจากนี้ เชื้อราชนิดนี้ยังก่อให้เกิดโรคในธัญพืช เช่น ข้าวโพด ข้าวสาลี และธัญพืชอื่นๆ ด้วย ดังนั้นผลของการถอดจีโนมของเชื้อรามาลาสซีเซีย โกลโบซา ในครั้งนี้จึงเอื้อประโยชน์ทั้งด้านคุณภาพชีวิตของประชากรและแก้ปัญหาด้านการเกษตรควบคู่กันไป