xs
xsm
sm
md
lg

30 ปี “สตาร์ วอร์ส” ต้นแบบแห่งเทคโนโลยีไซไฟ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เหล่าอัศวินเจไดกับ ดาบเลเซอร์ หรือที่ถูกต้องควรจะเป็น ดาบแสง (Light Saber) ในภาพยนตร์สตาร์ วอร์ส (www.starwars.com)
นานมาแล้วในกาแลกซีที่อยู่ไกลโพ้น...เกริ่นนำเปิดตำนานสงครามระหว่างดวงดาวในภาพยนตร์ไซไฟ “สตาร์ วอร์ส” ได้ระเบิดจินตนาการของคนทั่วโลกมาครบ 30 ปีแล้ว

เหล่าคนรักสตาร์วอร์สได้มารวมตัวกันที่ลานสานฝัน อุทยานการเรียนรู้ TK Park ในวันเสาร์ที่ 13 ต.ค. เพื่อร่วมเสวนา “30 ปี Star Wars กับอิทธิพลต่อวงการภาพยนตร์ไทย” ซึ่งจัดขึ้นโดย บริษัท แคททาลิสท์ อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัดผู้แทนจำหน่ายภาพยนตร์เรื่องดัง

อธิศ รุจิรวัฒน์ แฟนพันธุ์แท้สตาร์ วอร์ส กล่าวถึงภาพยนตร์ในดวงใจว่า จอร์จ ลูคัส (George Lucas) ผู้ให้กำเนิดมหากาพย์สงครามอวกาศนั้นได้รับอิทธิพลจากญี่ปุ่นค่อนข้างมาก และเทคนิคของภาพยนตร์ภาคแรกเมื่อ 30 ที่แล้วก็ได้กับภาพยนตร์สมัยนี้ซึ่งนับเป็นสุดยอดความอลังการของยุคนั้น

ด้านภาคภูมิ วงศ์ภูมิ ผู้กำกับภาพยนตร์สยองขวัญ “ชัตเตอร์กดติดวิญญาณ” และ “แฝด” กล่าวว่าไทยคงทำภาพยนตร์แบบสตาร์ วอร์สไม่ได้เพราะใช้ทุนและเทคโนโลยีขั้นสูง และถึงจะทำขั้นมาก็คงไม่สามารถสู้กับสตาร์วอร์สเมื่อ 30 ปีที่แล้วได้

“เคยคิดอยากทำหนังไซไฟเพราะเป็นแนวที่ชอบดู ดูแล้วมีความสุข แต่คงไม่ได้ทำจริง” ภาคภูมิกล่าวพร้อมย้ำถึงเหตุผลที่คนไทยคงไม่สามารถทำภาพยนตร์ยิ่งใหญ่อย่างสตาร์ วอร์สได้เพราะ “เงิน” โดยการถ่ายทำต้องใช้เทคโนโลยีที่ลงทุนคอนข้างสูง

“เอพพิโซด 1-3 ใช้เงินลงทุนประมาณ 100-150 ล้านดอลลาร์ (3,500-5200 ล้านบาท)” อาทยา บุญสูง นักทำคอมพิวเตอร์กราฟิกผู้ฝากผลงานไว้ในภาพยนตร์ฮอลลิวูดเรื่อง Underworld Evolution และนางฟ้าชาร์ลี (Charlie's Angels) กล่าวเสริม

ทั้งภาคภูมิและอาทยากล่าวว่าจอร์จ ลูคัสเป็นผู้สร้างเทคโนโลยีให้กับคนผลิตภาพยนตร์รุ่นต่อๆ มา โดยสตาร์ วอร์สถือเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกผลิตภาพยนตร์

“เสียงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้หนังสนุกมากขึ้น เสียงในภาพยนตร์สตาร์ วอร์สเป็นเสียงทุกอย่างที่ไม่มีในโลก และจอร์จ ลูคัสสามารถทำได้ซึ่งนับเป็นเรื่องยากมาก เขาทำให้เกิดซาวน์ดเอฟเฟกต์ (Sound Effect) ซึ่งเราได้ใช้ในตรงนั้น” ภาคภูมิกล่าว

ในด้านของความประทับใจของผู้ชมภาพยนตร์คงไม่มีใครเกิน คมสัน นันทจิต นักแสดงและผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ ซึ่งถึงกขั้นน้ำตาไหลพรากเมื่อได้ชมฉากที่ภาพยนตร์เฉลยว่า “อาจารย์โยดา” เก่งอย่างไร

“อาจารย์โยดาเก่งตรงไหน ตัวก็เล็ก เดินก็ช้า แต่เป็นมาสเตอร์ของเจได จนหนังได้มาเฉลยในฉากที่อาจารย์ต่อสู้ซึ่งได้โยนไม้เท้าทิ้งแล้วหยิบดาบเลเซอร์*** ออกมาเป็นดาบเลเซอร์อันเล็กแล้วกระโดดตีลังกา ผมเห็นฉากนี้แล้วน้ำตาไหลพราก ลุกขึ้นปรบมือซึ่งก็มีฝรั่งที่นั่งข้างๆ ผมลุกขึ้นปรบมือแล้วน้ำตาไหลเหมือนกัน คาดว่าเขาคงรู้สึกเหมือนผม” คมสันกล่าวพร้อมลุกขึ้นแสดงท่าทางฉากที่ประทับใจ

แม้ในภาพยนตร์จะดำเนินเรื่องจนครบทั้ง 6 ภาคจากการเวียนมาบรรจบของไตรภาคเอพพิโซด 4-6 และเอพพิโซด 1-3 แต่ตำนานแห่งสงครามอวกาศยังคงเป็นที่กล่าวขานอย่างต่อเนื่อง...ขอพลังจงอยู่กับท่าน

*** หมายเหตุ
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมลำแสงของดาบเลซอร์ในภาพยนตร์สตาร์วอร์จึงไม่พุ่งออกไปอย่างต่อเนื่องอย่างที่แสงเลเซอร์ควรจะเป็น ทั้งนี้ในความเป็นจริงภาษาอังกฤษใช้คำว่า Light Saber จึงควรจะหมายถึง "ดาบแสง" มากกว่า 

 





กำลังโหลดความคิดเห็น