เอเยนซี/เอพี/บีบีซีนิวส์/เอบีซีนิวส์/อิกโนเบล – มากัน “ขำๆ” อีกแล้วกับงานวิจัยที่ไม่มีทางจะได้เข้ารอบโนเบล ไม่ว่าจะเป็นกินไวอะกร้าแก้เจ็ทแลกได้ดีกว่า หรือระเบิดเกย์ และแม้แต่น้ำหอมกลิ่นวนิลลาจากอึวัว ผลงานเหล่านี้ได้รับการยอมรับบนเวที “อิกโนเบล” ประจำปี 2550
เป็นธรรมเนียมทุกครั้งก่อนหน้าการประกาศผลรางวัลโนเบลในแต่ละปี จะต้องมีการประกาศผลรางวัล “อิกโนเบล” (IgNobel Prizes) งานวิจัยที่ไม่สามารถทำกันได้ง่ายๆ โดยคณะกรรมการงานวิจัยที่ไม่น่าจะลอกเลียนแบบได้ประจำปี (Annals of Improbable Research) ออกมาให้แฟนๆ วิทยาศาสตร์ได้ฮากันก่อน
พิธีมอบรางวัล “อิกโนเบล 2007” ครั้งที่ 17 มีขึ้นเมื่อวันที่ 5 ต.ค. ที่ผ่านมา ณ ที่แห่งเดิมคือ โรงละครแซนเดอร์ ในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา โดยมีเจ้าของรางวัลโนเบล (ของจริง) ได้ออกมาประกาศรางวัลในสาขาต่างๆ ท่ามกลางผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมพิธีนับพันคน
7 ใน 10 ของผู้ชนะรางอิกโนเบลประจำปีนี้ ต่างมีวิถีทางในการรับรางวัลที่ต่างกันออกไป โดยมีนักวิทยาศาตร์ผู้ได้รับรางวัลโนเบลตัวจริง ให้เกียรติมาเป็นผู้มอบ ท่ามกลางการขว้างปาเครื่องบินกระดาษว่อนทั่วงาน ซึ่งเป็นประเพณีอันสำคัญของการประกาศรางวัล
อย่างนักวิจัยคู่ชาวอังกฤษและสหรัฐฯ ก็มาแสดงการกลืนดาบ ซึ่งเป็นส่วหนึ่งของผลงานที่ได้รับรางวัล เพราะพวกเขาศึกษาว่าผลข้างเคียงของการกระทำนั้นจะเป็นอย่างไร และได้อิกในสาขาการแพทย์ไปครอง
ผู้ชนะทั้ง 10 สาขาจะมีโอกาสกล่าวแสดงความรู้สึก พร้อมทั้งรับถ้วยรางวัลน้อยๆ ที่ประดับด้วยไก่และไข่
เมื่อมีโอกาสได้ขึ้นเวที ผู้ชนะหลายรายพยายามอธิยบายถึงผลงานของเขา ทว่ามีเวลาให้แค่คนละ 60 วินาที โดยผู้คุมเวลาคือเด็กหญิงวัย 8 ขวบที่ตะโกนว่า “กรุณาหยุดซะที ฉันเบื่อเต็มที” นั่นแหละหมดเวลาพูดได้แล้ว
ผลงานอิกโนเบลที่โดดเด่นประจำปีนี้ คือ การศึกษารูปแบบการยับของกระดาษ และคำว่า “เดอะ” นั้นสร้างความปวดหัวให้ได้มากแค่ไหน รวมถึง ทำไมมนุษย์ถึงยังไม่ยอมหยุดกิน เมื่อยังมีอาหารอยู่ในชาม (ก้นรั่ว)
@ นักกลืนดาบรู้ไว้ ต้องใช้....ทีละอัน
แดน เมเยอร์ (Dan Meyer) ผู้อำนวยการสมาคมการกลืนดาบสากล (Sword Swallowing Association International) และ ดร.ไบรอัน วิตคอมบ์ (Brian Witcombe) ได้ร่วมกันเขียนรายงานผลการศึกษา “การกลืนดาบและผลข้างเคียง” (Sword Swallowing and its Side Effects) ลงในวารสารการแพทย์ จนได้รับรางวัลอิกโนเบลในสาขาการแพทย์
การศึกษาของพวกเขา ชี้ให้เห็นว่า เมื่อนักกลืนดาบมืออาชีพ นำดาบเล่มเดียวเข้าไปในคออย่างระมัดระวัง จะไม่เป็นอันตรายแก่ช่องคอของพวกเขามากนัก อาจจะแค่ถลอก แต่ถ้ากลืนดาบครั้งละหลายๆ เล่มเข้าไป ใบมีดที่คมจะเบียดกัน และทำอันตรายแก่เส้นเลือดที่บริเวณช่องคอได้มากกว่า
งานวิจัยชิ้นนี้ นับเป็นการศึกษาอาการบาดเจ็บที่เกิดจากการกลืนดาบเป็นครั้งแรกในโลก ซึ่งอาการบาดเจ็บส่วนใหญ่เกิดขึ้น หลังจากมีการกลืนดาบครั้งต่อๆ ไป หรืออาจจะกลืนดาบด้วยวิธีไม่ธรรมดา อย่างการกลืนทีละหลายๆ เล่ม
ดังนั้น จากข้อค้นพบของงานวิจัยชิ้นนี้ชี้ว่า ผู้แสดงกลืนดาบไม่ควรกลืนทีละหลายๆ เล่ม อีกทั้งถ้าเกิดอาการเจ็บคอก็ไม่ควรจะกลืนดาบ
ทั้งคู่ เผยว่า รู้สึกประหลาดใจและเป็นเกียรติมาก ที่ไม่ได้เพียงแค่เป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อ แต่ยังชนะรางวัลเสียด้วย ... “ไม่อยากจะเชื่อเลย” เมเยอร์กล่าวอย่างเริงร่า กับผลงานวิจัยที่เขาลงทุนทดสอบด้วยตัวเองในปี 2548 และจากนั้นก็ไม่สามารถกินอาหารแข็งได้เป็นเดือน (แถมยังมาโชว์ในที่รับรางวัลอีก)
@ “เกย์บอม์” เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามรัก
สาขาสันติภาพ ปีนี้ยกให้แก่ห้องปฏิบัติการไรท์ ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ (U.S. Air Force's Wright Laboratory) ในมลรัฐโอไฮโอ ที่ผุดไอเดีย “เกย์บอมบ์” (gay bomb) ตั้งแต่ปี 2537 (แต่เพิ่งถูกนำมาแฉเมื่อเร็วๆ นี้)
แนวคิดระเบิดดังกล่าว จะผสมสารเคมีที่ทำให้ทหารฝ่ายตรงข้ามกลายเป็นพวกรักร่วมเพศ รวมทั้งผสมยาโป๊ (กระตุ้นอารมณ์เพศ) เข้มข้น เมื่อทิ้งระเบิดไปเมื่อไหร่ รับรองว่าเหล่าทหารโผเข้าหากัน สนามรบกลายเป็นสนามรักไปบัดดล
แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเจ้าหน้าที่จากกองทัพมาร่วมรับรางวัลในครั้งนี้
@ ไอติมวานิลลาอึวัวช่างยั่วยวนใจ
มาอิ ยามาโมโตะ (Mayi Yamamoto) นักวิจัยชาวญี่ปุ่น ได้รับรางวัลในสาขาเคมี เพราะเธอพัฒนาวิธีทำน้ำหอมและเครื่องปรุงกลิ่นวานิลลา โดยสกัดสารวานิลลินได้จากอึวัว
ทั้งนี้ เธอยังตั้งชื่อกลิ่นใหม่ที่สกัดได้ว่า “ยัม-อะ-โมโต วานิลลา ทวิสต์” (Yum-a-Moto Vanilla Twist) ซึ่งนำใส่ในไอศรีม และวางขายที่ร้านไอศรีมแห่งหนึ่งนับเป็นโลคอลเทสต์ (local taste) อย่างแท้จริง
ยามาโมโตะ บอกว่า ตอนแรกที่ได้รับแจ้งว่าเธอได้รับอิกโนเบล ก็นึกว่าเป็นแค่เรื่องขำๆ แต่ที่เดินทางมาร่วมเวทีในครั้งนี้ ก็เพราะต้องการให้ทุกคนรู้จักผลงานวิจัยของเธอ
@ ของง่ายๆ “ตาข่ายจับโจร” ทำแบงก์ไม่โดนปล้น
กัวเจินเสีย (Kuo Cheng Hsieh) นักประดิษฐ์ชาวไต้หวัน เจ้าของสิทธิบัตรอุปกรณ์ที่ช่วยปล่อยตาข่ายคลุมโจรขณะปล้นธนาคาร (A Net Trapping System to Catch a Bank Robber) ได้รับรางวัลในสาขาเศรษฐศาสตร์
สิ่งประดิษฐ์ดังกล่าว คณะกรรมการเผอิญไปเซิร์ทพบในกูเกิล ซึ่งมีหลักการง่ายๆ เพียงแค่ทำให้ตาข่ายที่ติดอยู่บนเพดานของห้องโถงในธนาคาร สามารถหลุดลงมาคลุมด้านล่างได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว ด้วยระบบที่ติดกล้องอินฟาเรดจับการเคลื่อนไหวของโจรปล้นธนาคาร
เมื่อผลงานที่เรียบง่ายแต่ได้ใจ (ชาวแบงก์) ของเขา เข้าตากรรมการ แต่ว่าไม่มีใครรู้ว่าชายชาวไต้หวันผู้นี้อยู่หนใด คณะกรรมการจึงได้ประกาศชื่อเขาเพื่อเป็นเกียรติในงาน (และแอบสงสัยว่า...เขาอาจจะติดอยู่ในอุปกรณ์นั่นเสียเอง)
@ กระดาษยับก็มีรูปแบบ
ศ.แอล มหาดีวาน (L. Mahadevan) แห่งสาขาคณิตศาสตร์ประยุกต์ ฮาร์วาร์ด และเอนริเก เซร์ดา วิลลาบลางกา (Enrique Cerda Villablanca) มหาวิทยาลัยซานติเอโก ในชิลี (Universidad de Santiago in Chile) ทั้งคู่ได้รับรางวัลในสาขาฟิสิกส์ที่ร่วมกันศึกษารูปแบบการยับของกระดาษ
พวกเขาเห็นปัญหาว่าเตียงที่ยับย่น สร้างความหงุดหงิดให้ผู้มีหน้าที่จัดเตียงไม่น้อย ดังนั้นจึงศึกษารูปแบบการยับบนกระดาษ
รูปแบบการยับที่จำลองมาจากรอยยับตามธรรมชาติ ที่มีบนผิวหนังมนุษย์และสัตว์ โดยศึกษาทั้งในแง่เทคนิคและศาสตร์ต่างๆ
“พวกเราแสดงให้เห็นว่า คุณจะเข้าใจรูปแบบทั้งหมดได้ เพียงแค่ใช้สูตรง่ายๆ” มหาดีวานเล่า ซึ่งเขายังบอกอีกว่า งานวิจัยของเขานั้นทำให้เห็นว่า “ไม่มีเหตุผลเลยที่จะบอกว่าวิทยาศาสตร์ (ดีๆ ) น่าเบื่อ”
@ อิ่มไม่อิ่มตัดสินกันที่ตา
สาขาโภชนการยกให้ ศ.ไบรอัน วานซิงค์ (Brian Wansink) จากมหาวิทยาลัยคอร์แนล (Cornell University) เจ้าของการทดลองที่ชี้ว่า มนุษย์จะกินมากขึ้น เมื่อมีอาหารเพิ่มมากกว่าเดิม โดยทดสอบกับชามซุปที่ไม่มีก้น
เขาใช้ชามไร้ก้นขนาดปกติ ต่อเข้ากับท่อ และค่อยๆ เติมซุปครีมมะเขือเทศเพิ่มไปอย่างช้าๆ เพื่อจะดูว่าเหยื่อ (ผู้บริโภค) กินซุปไปเรื่อยๆ มากกว่าปกติหรือไม่
“เราพบว่า คนที่กินซุปจากถ้วยไม่มีก้นดังกล่าว กินซุปมากขึ้นถึง 73% แต่พวกเขาก็ไม่เคยบอกว่า “อิ่มมาก” แต่อย่างใด” ศาสตราจารย์ดานพฤติกรรมผู้บริโภคและเศรษฐศาสตร์ประยุกต์อธิบาย ซึ่งเขาเชื่อว่าเหล่าผู้กินทั้งหลายไม่รู้สึกอิ่มหากอาหารยังเหลืออยู่
ดังนั้นเขาจึงได้ข้อสรุปว่า “พวกเรา (ชาวอเมริกัน) ตัดสินความอิ่มแปล้ด้วยสายตา หาใช่สัญญาณจากท้องของตัวเอง
@ ไวอะกร้าแก้อาการเจ็ทแลก
อิกโนเบลสาขาอากาศยาน เป็นของทีมจากมหาวิทยาลัยคิลเมส (Quilmes National University) ในบัวนอส ไอเรส อาร์เจนตินา ประกอบด้วย แพทริเซีย อะกอสทิโน (Patricia Agostino), ซานดิเอโก พลาโน (Santiago Plano) และดีเอโก โกลอมเบค (Diego Golombek) ศึกษาเรื่องเจ็ทแลก (ปัญหาการอันเป็นผลจากการเดินทางไกลผ่านโซนเวลาที่แตกต่างกันมากโดยเครื่องบิน)
พวกเขาค้นพบว่าหนูแฮมสเตอร์สามารถฟื้นตัวจากอาการเจ็ทแลกได้เร็วกว่าปกติ เมื่อได้รับยาต้านกามตายด้าน (หรือไวอะกร้า) โดยยากระตุ้นสมรรถภาพทางเพศทำให้น้องหนู (แฮมสเตอร์) หลังพบกับช่วงเวลาที่แตกต่างกันถึง 6 ชั่วโมง พบว่าพวกหนูที่ได้ยาฟื้นตัวเร็วกว่า 50% เมื่อเทียบกับหนูที่ไม่ได้ยา
ทว่า การศึกษาครั้งนี้ พวกเขาไม่ได้ลงทุนถึงขนาดพาหนูทดลองบินข้ามน้ำทะเลไปมา (เพราะว่าคงเปลืองน่าดู) ก็แค่เปิดปิดไฟหลอกเวลาหนูๆ แค่นี้ก็พอแล้ว
@ “เดอะ” สร้างปัญหาน่าดู
สาขาวรรณกรรมยกให้ เกลนดา โบรวเน (Glenda Browne) หญิงสาวจากบลูเมาเทนส์ ออสเตรเลีย ผู้เคยทำงานด้านเทคโนโลยีชีวภาพ แต่กลับเพียรพยายามศึกษาคำว่า “เดอะ” (the) เมื่อนำไปเรียงในหน้าดัชนีตามลำดับอักษรแล้ว กลายเป็นปัญหาอย่างไม่น่าเชื่อ
ตลอดเวลา 18 ปีที่เธอทำงานเป็นเจ้าหน้าจัดลำดับดัชนีหนังสือ ทำให้เห็นอยู่บ่อยว่า “เดอะ” ปรากฏอยู่หน้าชื่อหนังสือต่างๆ ทำไมถึงอยู่ได้ ทั้งๆ ที่ไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น
อาทิในบางดัชนี เขียนว่า The American Journal of Psychiatry, หรือ The Journal of Molecular Diagnostics ทั้งคู่ใช้เดอะนำหน้า แต่ทำไม British Journal of Pharmacology และ Journal of Microscopy กลับไม่มีเดอะนำหน้า
งานของผู้ทำดัชนีอย่างเธอคิอการทำรายชื่อหนังสือต่างๆ ตามลำดับอักษร ทว่า “เดอะ” นี่แหละเป็นปัญหาสำคัญ (ของทั้งเธอ และคนทำดัชนีทั่วไป)
“ในการทำดัชนี เราก็มีกฎเกณฑ์ แต่บางครั้งกฎเหล่านั้นก็ไร้สาระ และกวนใจพวกเรา” โบรวเนเล่า และบอกว่ามันเหมือนการเล่นปริศนาคำทาย ว่าจะต้องใช้เดอะขึ้นต้น หรือห้อยท้าย
อย่าง “The Who” เธอก็ไม่แน่ใจว่า ที่จริงแล้วควรทำดัชนีว่า “Who, The” หรือ “The Who” ตามตัวไปเลย
ในที่สุดเธอก็คิดวิธีแก้ปัญหานี้ออก โดยเขียนรายงาลงตีพิมพ์ในวารสาร “ดิ อินเด็กเซอร์” (The Indexer) ปี 2544 ว่า ผู้คนที่ใช้ดัชนีต่างก็มีวิธีค้นหาของตัวเอง ทั้งประเภทที่คุ้นเคยกับ “เดอะ” นำหน้า และห้อยท้าย
ดังนั้น...ก็ใส่ลงไปเลยทั้ง 2 แบบ (จะคิดมากให้ปวดหัวทำไม-ใครหาแบบไหนก็เจอแน่)
ทั้งนี้ ในหลักการเดียวกัน สามารถใช้ได้กับ อะ (A) และ แอน (An)
นอกจากนี้ ยังมีอิกโนเบลในสาขาชีววิทยา ที่มอบให้ ดร.โจฮันนา ฟอน บรอนสวิจค์ (Dr. Johanna E.M.H. von Bronswijk) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเอนด์โฮเวน (Eindhoven University of Technology) จากเนเธอร์แลนด์ ผู้ทำสำมะโนประชากรตัวไร, แมลง, แมงมุม, เพลี๊ยะ, แบคทีเรีย, สาหร่ายและเฟิร์น ซึ่งสิ่งมีชีวิตเหล่านี้อยู่บนเตียงของพวกเรา (ซึ่งการสำรวจครั้งนี้ได้ข้อสรุปว่า “เราไม่ได้นอนคนเดียว แต่แชร์เตียงกับสิ่งมีชีวิตต่างๆ มากมาย)
และสาขาภาษาศาสตร์ โดยฮวน มานูเอล โตโร (Juan Manuel Toro), โจเซฟ ทรอบาลอน (Josep Trobalon) และ นูเรีย เซบาสเตียน กลาสส์ (Nuria Sebastian-Galles) มหาวิทยาลัยบาร์เซโลนา ที่สามารถแสดงให้เห็นว่า หนูแรทไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างคนที่พูดภาษาอังกฤษ และภาษาดัชท์แบบย้อนหลังได้
รางวัลอิกโนเบลตั้งขึ้นเมื่อปี 2534 โดยมาร์ก อับราฮัมส์ (Marc Abrahams) บรรณาธิการนิตยสารทางวิทยาศาสตร์ เขาต้องการมอบรางวัลอิก โนเบลในแต่ละปีให้แก่ผลงานทางวิทยาศาสตร์ที่ “ไม่สามารถหรือไม่น่าจะลอกเลียนแบบได้”
”งานบางชิ้นช่างดูเพี้ยนๆ แปลกๆ นั่นแหละจะทำให้พวกคุณหัวเราะโปกฮา และจากนั้นมันก็จะทำให้คุณได้คิด ซึ่งนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่เราจะได้คิดอะไรแปลกๆ ต่อไป”
อีกทั้งอับราฮัมส์ตั้งรางวัลนี้ขึ้นมา เพื่อฉายแสงให้กับโครงการวิทยาศาสตร์แปลกๆ ประหลาดที่ถูกโยนทิ้งจากกองบรรณาธิการนิตยสารวิทยาศาสตร์ และงานวิจัยแปลกๆ เหล่านี้อาจสูญหายไปในอนาคต
ขณะเดียวกันนักวิทยาศาสตร์บางคนก็บ่นว่า การล้อเลียนการประกาศรางวัลโนเบลนั้นทำให้วงการวิจัยเหมือนเป็นของเล่น ทว่าอีกหลายๆ คนก็มองว่า นี่เป็นความสนุกสนานแห่งวงการวิทยาศาสตร์ (ขำๆ กันบ้างจะเป็นไร)