xs
xsm
sm
md
lg

เตรียมติดกล้องไอแมกซ์ให้ "ฮับเบิล" ทำหนังอวกาศ 3 มิติ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สเปซด็อทคอม - วอร์เนอร์ บราเธอร์สจับมือนาซาเตรียมส่งกล้อง 3 มิติขึ้นไปติดให้ "ฮับเบิล" ปีหน้าเพื่อถ่ายทำภารกิจซ่อมแซมกล้องโทรทรรศน์อวกาศครั้งสุดท้ายและนำฉายในปี 2553 นี้ นับเป็นหนังที่ถ่ายทำในอวกาศครั้งแรกของบริษัทหนังแห่งนี้

วอร์เนอร์ บราเธอร์ส (Warner Bros.) พร้อมด้วยไอแมกซ์ (IMAX) ร่วมมือกับองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐ (นาซา) เตรียมส่งกล้องถ่ายทำภาพยนตร์ 3 มิติของไอแมกซ์ไปพร้อมกระสวยอวกาศในปฏิบัติการซ่อมแซมกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลครั้งสุดท้ายที่มีกำหนดส่งขึ้นไปปีหน้าเพื่อสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับปฏิบัติการดังกล่าวฉายในปี 2553 นี้ โดยอาศัยลูกเรือกระสวยอวกาศเป็นผู้บันทึกภาพและร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตในการสำรวจวงโคจรด้วย

"ทศวรรษที่ผ่านมาเราสร้างภาพยนตร์ซึ่งแตะเรื่องราวเกี่ยวกับฮับเบิลอย่างย่นย่อ แต่หลังจากนี้ภาพแรกจากฮิบเบิลกำลังจะถ่ายทอดเข้ามา วันนี้เรามีข้อมูลปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ครบครันจากฮับเบิลให้สำรวจ ด้วยกล้องไอแมกซ์ 3 มิติเราสามารถนำส่งผู้คนออกไปยังกาแลกซีที่กว้างใหญ่ 1.3 หมื่นล้านปีแสง การเดินทางสู่ดวงดาวที่แท้จริงเกิดขึ้นแล้วที่นี่" คำกล่าวของโทนี เมเยอร์ (Toni Myer) โปรดิวเซอร์และผู้กำกับภาพยนตร์ไอแมกซ์เมื่อปี 2547 เรื่อง "Destiny in Space" โดยภาพยนตร์เกี่ยวกับฮับเบิลนี้จะประทับตราว่าเป็นการเดินทางออกไปสร้างภาพยนตร์ในอวกาศครั้งแรกของวอร์เนอร์

ด้านแดน เฟลล์แมน (Dan Fellman) ประธานฝ่ายจัดจำหน่ายในสหรัฐฯ ของวอร์เนอร์กล่าวว่าอดีตนั้นภาพยนตร์ 3 มิติของไอแมกซ์ได้นำผู้ชมเข้าที่นั่งในตำแหน่งคนขับรถแข่ง "นาสคาร์" แล้วพาแหวกว่ายไปพร้อมกับสิ่งมีชีวิตน่าอัศจรรย์ใต้ท้องทะเล และตอนนี้ทางบริษัทตั้งหน้าที่จะนำส่งผู้ชมออกไปสัมผัสเอกภพอันไกลโพ้น พร้อมทั้งกล่าวว่าเวอร์เนอร์และไอแมกซ์ได้ร่วมมือกันสร้างภาพยนตร์รวม 20 เรื่องภายใน 4 ปีที่ผ่านมา และครั้งนี้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้แบ่งปันประสบการณ์ความบากบั่นในภาพยนตร์ไอแมกซ์ 3 มิติอีกครั้งกับคนดู

ทั้งนี้ปฏิบัติการซ่อมแซมกล้องฮับเบิลครั้งหน้านี้นับเป็นปฏิบัติการครั้งที่ 5 นับแต่ส่งกล้องโทรทรรศน์อวกาศดังกล่าวออกไปเมื่อปี 2533 โดยกำหนดปฏิบัติการครั้งสุดท้ายไว้เป็นเที่ยวบิน 11 วัน ซึ่งหลังจากกระสวยอวกาศเข้าสู่วงโคจรแล้วลูกเรือจะเข้าถึงหอดูดาวบนอวกาศในวันที่ 3 ของภารกิจ จากนั้นจะใช้แขนกลนำกล้องโทรทรรศน์มายังท่าขนส่งวัสดุอุปกรณ์ และจำปฏฺบัติภารกิจให้ลุล่วงภายในการเดินอวกาศ 5 ครั้ง

ภายในตารางปฏิบัติการจะมีการติดตั้งเครื่องมือใหม่ให้แก่ฮับเบิล 2 ชิ้นคือ กล้องวิเคราะห์อวกาศ COS (Cosmic Origins Spectrograph) และกล้องบันทึกภาพกว้าง WFC3 (Wide Field Camera 3) แทนเซ็นเซอร์นำทางตัวหนึ่งของฮับเบิลที่มีอยู่ทั้งหมด 3 ตัว รวมทั้งซ่อมแซมกล้องสำรวจซึ่งหยุดทำงานไปเมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา โดยภายใต้การซ่อมบำรุงนี้ได้ออกแบบเพื่อขยายอายุการใช้งานของกล้องฮับเบิลออกไปเป็น 2 ทศวรรษ

"เรารู้สึกตื่นเต้นยิ่งที่ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกจะได้รับประสบการณ์ในภารกิจซ่อมแซมครั้งสำคัญนี้โดยตีตั๋วนั่งชมในแถวหน้า ผู้ชมภาพยนตร์จะถูกสะกดคล้ายดังถูกส่งออกไปยังกาแลกซีอันไกลโพ้นของเอกภพเลยทีเดียว" แชนนา เดล (Shana Dale) ผู้ช่วยผู้อำนวยการนาซากล่าว

สำหรับนักบินอวกาศที่จะรับหน้าที่ตากล้องจำเป็นในครั้งนี้เป็นลูกเรือของเที่ยวบิน STS-125 ของนาซาที่จะส่งขึ้นไปปีหน้า ซึ่งบัญชาการบินโดยสก็อตต์ อัลแมน (Scott Altman) นักบินอวกาศผู้ช่ำชอง และมีเกรกอรี จอห์นสัน (Gregory C. Johnson ) เป็นผู้ขับยานในเที่ยวบินดังกล่าว ส่วนผู้เชี่ยวชาญของปฏิบัติซึ่งจะรับหน้าที่เดินอวกาศได้แก่ จอห์น กรันส์เฟล์ด (John Grunsfeld) ไมเคิล แมสสิมิโน (Michael Massimino) แอนดรูว ฟิวสเทล (Andrew Feustel) ไมเคิล กู๊ด (Michael Good ) และเมแกน แมคอาร์เธอร์ (K. Megan McArthur) โดยอัลแมน กรันสเฟล์ด และแมสสิมิโนต่างเคยขึ้นปฏิบัติการซ่อมแซมกล้องฮับเบิลแล้ว

ทั้งนี้วอร์เนอร์เคยร่วมมือกับบริษัทสร้างจรวดล็อกฮีด มาร์ติน (Lockheed Martin) ผลิตภาพยนตร์ที่ฉายภาพอวกาศมาแล้ว 6 เรื่องได้แก่ Hail Columbia ฉายในปี 2525, The Dream is Alive ฉายในปี 2528, Blue Planet ฉายในปี 2533, Destiny in Space ฉายในปี 2538, Mission to Mir ฉายในปี 2540 และ Space Station 3D ฉายในปี 2545

กำลังโหลดความคิดเห็น