สถาบันน้ำ-กรมชลฯ ร่วมมือติดตั้งระบบ "โทรมาตร" 100 จุดทั่วประเทศ ใช้เป็นข้อมูลวิเคราะห์น้ำท่วม-น้ำแล้ง เผยทดลองระบบมาแล้ว 2 ปี นำร่องที่ จ.ระยองและลุ่มน้ำภาคเหนือตอนบน
สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร(สสนก.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกันติดตั้งระบบโทรมาตรขนาดเล็ก 100 สถานีทั่วประเทศเพื่อตรวจวัดค่าปริมาณน้ำฝน โดยจะเริ่มติดตั้งในพื้นที่ลุ่มน้ำในภาคเหนือและภาคอีสานตอนบน จากนั้นจะทยอยติดตั้งให้ครบภายใน 2 เดือน
สำหรับระบบโทรมาตรที่พัฒนาขึ้นโดย สสนก.นั้นประกอบด้วยเสาที่ติดตั้งอุปกรณ์สำคัญคือ เกจวัดปริมาณน้ำฝน (Rain Gauge) เกจวัดสภาพอากาศ (Weather Gauge) และใช้พลังงานได้ทั้งไฟฟ้าจากบ้านเรือนหรือแผงเซลล์แสงอาทิตย์ ซึ่งในสถานที่จริงจะติดตั้งอยู่ภายในตู้เพื่อป้องกันการขโมย ทั้งนี้งบประมาณรวมอุปกรณ์และค่าติดตั้งประมาณ 100,000 บาท
ส่วนข้อมูลจากการตรวจวัดนั้นส่งผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรือแสดงผลทาง GPRS ผ่านระบบมือถือในแบบเวลาจริง (Real Time) และในรูปแบบข้อมูลภูมิศาสตร์สารสนเทศหรือจีไอเอส (GIS) ทุก 10 นาทีเมื่อเกิดฝนตก
ดร.รอยล จิตรดอน ผู้อำนวยการ สสนก.กล่าวว่าได้ทดลองระบบโทรมาตรมา 2 ปี โดยนำร่องที่ จ.ระยอง รวมถึงพื้นที่บางส่วนที่เป็นต้นน้ำทางภาคเหนือ และปลายปีที่แล้วได้ติดตั้งอีกสถานีที่ จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งก็ได้ปรับแก้ระบบมาตลอดโดยปัญหาส่วนใหญ่จะเกิดกับตัวเซนเซอร์แต่ก็แก้ปัญหาได้เกือบทั้งหมดแล้ว ส่วน 100 สถานีที่จะติดตั้งระบบโทรมาตรนี้มีที่ไหนบ้างนั้นทางกรมชลฯ ได้กำหนดไว้แล้ว
ความสำคัญของข้อมูลจากระบบโทรมาตรนี้ ดร.รอยลกล่าวว่าช่วยทำนายภาวะน้ำแล้ง-น้ำท่วมได้แต่ต้องใช้เวลาในการเก็บข้อมูลอย่างน้อย 1-2 เดือน พร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่าหากมีปริมาณน้ำฝน 60 มิลลิเมตรตกต่อเนื่องกันเพียง 3 วันก็เป็นอันตรายแล้ว
อย่างไรก็ดีในส่วนของการแจ้งเหตุดินถล่มและน้ำหลากนั้น ระบบโทรมาตรนี้ไม่สามารถให้ข้อมูลได้
ทางด้าน ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวถึงการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีบริหารจัดการน้ำว่าประกอบด้วย 4 ด้านสำคัญคือ 1.การสร้างความตระหนักในข้อมูลสภาวะอากาศที่เกี่ยวกับน้ำ 2.จัดการระบบน้ำขนาดใหญ่ได้ โดยต้องทำนายอนาคตของภาวะอากาศและน้ำว่าเป็นอย่างไรจากนนั้นนำข้อมูลไปสร้างเป็นแบบจำลองเพื่อจัดการได้อย่างเหมาะสม 3.เพื่อประสิทธิภาพในการใช้น้ำ และ 4.เก็บข้อมูลเพื่อนำไปใช้ประมวลผล
"ทั้งหมดเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งกระทรวงวิทย์สามารถช่วยได้ โดยอยู่เบื้องหลังคอยหนุนกรมชลฯ แต่เราไม่เป็นพระเอก เราจะสนับสนุนการทำงานของกระทรวงอื่นๆ" ศ.ดร.ยงยุทธกล่าว
ส่วน ศ.ดร.ธีระ สูตะบุตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่าต่อไปนี้การพัฒนาการเกษตรต้องใช้วิทยาศาสตร์เข้ามาช่วย ซึ่งกระทรวงเกษตรยังมีอีกหลายหน่วยงานที่ต้องการให้กระทรวงวิทย์เข้ามาสนับสนุนข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์ โดยกระทรวงเกษตรจะมีบทบาทในการกำหนดโจทย์
"หลายอย่างที่ก.วิทย์มีนักวิทยาศาสตร์ที่ก.เกษตรไม่มี และหลายอย่างก.วิทย์ก็น่าจะพร้อมกว่า อย่างการปรับปรุงพันธุ์พืชที่เห็นว่ามีผู้เชี่ยวชาญ เทคโนโลยีการเก็บเกี่ยวก็เห็นว่า ก.วิทย์มีฟิล์มช่วยยืดอายุ ก.วิทย์น่าจะเชิญผู้บริหาร นักวิจัยของ ก.เกษตรไปดู" ศ.ดร.ธีระกล่าว
นอกจากนี้ทาง สสนก.และกรมชลฯ ยังได้ร่วมกันจัดทำระบบผังน้ำบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตซึ่งหน่วยงานต่างๆ สามารถนำไปใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำได้ โดยจัดทำแบบจำลองคำนวณปริมาณน้ำท่าในพื้นที่ลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่านเป็นลุ่มน้ำสำคัญนำร่อง เพื่อเปรียบเทียบกับการวัดผลจริง แล้วจัดทำสรุปข้อมูลสถานการณ์น้ำและคาดการณ์สภาวะน้ำจากข้อทมูลสารสนเทศน้ำ