ในอดีตเมื่อ 80 ปีก่อน Thomas Morgan ได้เคยทดลองศึกษาแมลงหวี่ จนพบว่า พฤติกรรมของยีนบน chromosome ขึ้นกับ chromosome ที่มันอยู่ แต่ chromosome ของแมลงหวี่มีขนาดเล็กมาก จนไม่มีใครในสมัยนั้นสามารถเห็นรายละเอียดต่างๆ ของมันได้ เวลาเซลล์แบ่งตัว ยิ่งไปกว่านั้น นักพันธุศาสตร์ในยุคนั้นยังเชื่ออีกว่า ยีนอยู่บนโครโมโซมเหมือนลูกปัดที่เรียงร้อยอยู่บนสายสร้อย โดยไม่ขยับเลื่อนหรือเปลี่ยนตำแหน่งเลย
McClintock จึงตัดสินใจศึกษาดูว่า โครโมโซมจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร เวลาเซลล์ข้าวโพดแบ่งตัว ทั้งนี้เพราะโครโมโซมของเซลล์ข้าวโพดมีขนาดใหญ่พอที่จะให้กล้องจุลทรรศน์สมัยนั้นสามารถเห็นได้ การใช้เทคนิคย้อมสีที่ดีทำให้ McClintock สามารถระบุได้ว่าโครโมโซมของข้าวโพดมี 10 ชนิด และยีนมีการเคลื่อนที่หรือการเปลี่ยนแปลงอย่างไร เวลารูปพรรณสัณฐานหรือสีของเม็ดข้าวโพดเปลี่ยน การศึกษาของเธอจึงอธิบายเหตุผลว่าเหตุใดลูกจึงแตกต่างจากพ่อแม่ และกระบวนการ cell differentiation ของเธอสามารถอธิบายผลการทดลองของ Morgan ได้อย่างสมบูรณ์
การค้นพบที่สำคัญของเธอ คือ การที่เธอพบว่า นอกจากยีนจะสามารถย้ายตำแหน่งบนโครโมโซมเดียวกันได้ มันยังสามารถกระโดดจากโครโมโซมหนึ่งไปอีกโครโมโซมหนึ่งได้ด้วย และเซลล์ข้าวโพด นอกจากจะมียีนที่ทำหน้าที่กำกับเรื่องสีของเมล็ดแล้ว ก็ยังมียีนควบคุมอีก 2 ชนิดด้วย โดยยีนควบคุมตัวหนึ่งจะอยู่ใกล้ยีนสีและมีหน้าที่กำกับให้ยีนสีทำงานหรือหยุดทำงาน ส่วนยีนควบคุมอีกตัวหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้ยีนสี เช่นกัน มีหน้าที่ควบคุมเวลาทำงานของยีนสี และยีนควบคุมเหล่านี้สามารถเคลื่อนย้ายไปบนโครโมโซม หรือกระโดดจากโครโมโซมหนึ่งไปอีกโครโมโซมหนึ่งได้ และเมื่อกระโดดไปแล้ว มันก็จะทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของยีนต่างชนิดต่อไป McClintock เรียกกระบวนการเช่นนี้ว่า transposition
เมื่อผลงานของเธอปรากฏในปี พ.ศ. 2494 ภายใต้ชื่อ Chromosome Organization and Genic Expression วงการชีววิทยาคิดว่าเธอเสียสติ ทุกคนคิดว่าการที่เธอทำงานคนเดียวและไม่สนทนาวิชาการกับใครทำให้เธอเพี้ยน เมื่อถูกสังคมวิชาการต่อต้าน McClintock เริ่มเก็บตัวเงียบไม่สอนหนังสือและไม่รับโทรศัพท์ใด ๆ เวลาใครต้องการติดต่อกับเธอก็ให้เขียนบันทึกแทน เพราะเธอได้ทุ่มเททำงานในห้องปฏิบัติการถึงวันละ 12 ชั่วโมง เพื่อศึกษาเรื่อง controlling gene ต่อ
ในปี พ.ศ. 2500 McClintock ได้เดินทางไปศึกษาวิวัฒนาการของพันธุ์ข้าวโพด ในอเมริกาใต้ เพราะที่นั่นมีพันธุ์ข้าวโพดที่หลากหลาย
ความสำคัญของการค้นพบ ยีนควบคุมโดย McClintock เริ่มประจักษ์เมื่อ Francois Jacob และ Jacques Monod สองนักพันธุศาสตร์ชาวฝรั่งเศสได้ตีพิมพ์งานวิจัยเรื่อง Genetic regulatory mechanisms in the synthesis of proteins ในวารสาร Journal of Molecular Biology ในปี พ.ศ. 2504 ว่า จุลินทรีย์ก็มียีนควบคุม และยีนนี้ตามปกติจะไม่เคลื่อนที่ยกเว้นเวลาได้รับแรงกระตุ้นจากภายนอก เช่น ได้รับรังสีเป็นต้น และนี้ก็คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้สิ่งมีชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงด้านพันธุกรรม ทำให้เกิดกระบวนการวิวัฒนาการ
เมื่ออายุได้ 69 ปี McClintock ได้รับ National Medal of Science ซึ่งเป็นเกียรติยศสูงสุดที่ประชาชนสหรัฐฯ จะได้รับจากประธานาธิบดี Richard Nixon และอีก 10 ปี ต่อมา เธอก็เป็นสตรีคนแรกที่ได้รับเงินสนับสนุนการวิจัยตลอดชีวิตของมูลนิธิ MacArthur และรางวัล Albert Lasker ด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ รวมทั้งรางวัล Wolf Prize ในปีนั้นด้วย
และเมื่อถึงปี พ.ศ. 2526 เธอก็ได้รับรางวัลโนเบลสาขาแพทยศาสตร์และสรีรวิทยาจากการพบ mobile genetic elements ขณะนั้นเธอมีอายุ 81 ปี
ตลอดชีวิตของเธอ McClintock ชอบความสันโดษ อิสระ และมีความเชื่อมั่นในตนเองสูง เธอไม่แต่งงาน เพราะคิดว่า ไม่มีผู้ชายใดมีจิตใจที่แข็งแกร่งพอจะทนนิสัยเธอได้ เธอได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ 14 ปริญญา และเมื่อโลกรู้จักเธอ หลังจากที่เธอได้รับรางวัลโนเบล เธอก็เริ่มออกสังคมมากขึ้น โดยได้เดินทางไปบรรยายประวัติความเป็นมาของวิทยาการด้านพันธุศาสตร์ในที่ต่าง ๆ
ในปี พ.ศ. 2544 หลังจากที่เธอตาย N.C. Comfort ก็ได้เขียนชีวประวัติของเธอในหนังสือชื่อ The tangled field : Barbara McClintocks search for the patterns of genetic control และเมื่อปีกลายนี้ Naomi Pasachoff ก็ได้เขียนประวัติของเธอลงในหนังสือ Barbara McClintock , Genius of Genetics ที่จัดพิมพ์โดย Enslow Publishers, และเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ออกแสตมป์ 37 เซ็นต์ ที่มีภาพของเธอเพื่อเป็นที่ระลึกในฐานะนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันผู้มีชื่อเสียงเพราะเธอเป็นสตรีคนแรกและคนเดียวที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาแพทยศาสตร์และสรีรวิทยาโดยไม่มีใครได้รับร่วม
สุทัศน์ ยกส้าน ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สสวท