xs
xsm
sm
md
lg

Barbara McClintock : มารดาของวิทยาการด้านพันธุศาสตร์ (1)

เผยแพร่:   โดย: สุทัศน์ ยกส้าน

Barbara McClintock
Barbara McClintock เกิดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2445 ที่เมือง Hartford รัฐ Connecticut ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเวลา 2 ปี หลังจากที่ Correns และ Le Vries พบกฎของ Mendel เธอเป็นลูกคนที่ 3 ของครอบครัวและมีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน 4 คน บิดาเป็นแพทย์

ในวัยเด็ก McClintock ต้องไปอาศัยอยู่กับป้าและลุง เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวเพราะบิดาเพิ่งเริ่มมีคลินิกรักษาคนไข้ เธอเล่าว่า เธอชอบใช้เวลาอยู่คนเดียวคือ ไม่ชอบให้ใครมาสุงสิง และรู้สึกใกล้ชิดกับบิดายิ่งกว่ามารดา McClintock สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียน Eramus Hall High School ที่เมือง Brooklyn และรู้สึกชอบวิทยาศาสตร์มาก จึงตัดสินใจเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย แต่ถูกมารดาทัดทานโดยอ้างว่าการเรียนสูงๆ จะทำให้เธอต้องขึ้นคาน

นอกจากนี้ทางบ้านก็ไม่มีเงินมากพอที่จะส่งเสียเธอได้ แต่บิดาได้เข้าขัดขวางทำให้เธอได้ไปเรียนพฤกษศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย Cornell จนสำเร็จได้รับปริญญาตรีเมื่ออายุได้ 21 ปี และขณะศึกษาวิชาพันธุศาสตร์กับ C. B. Hutchison นั้น เธอรู้สึกสนใจพันธุศาสตร์มาก ดังนั้นเมื่อ Hutchison เห็นความสามารถและความสนใจของเธอ จึงชวนเธอเรียนต่อระดับปริญญาเอกที่ Cornell เพราะในสมัยนั้นมหาวิทยาลัยห้ามสตรีเรียนพันธุศาสตร์ เธอจึงสำเร็จการศึกษาปริญญาโทและเอก ด้านพฤกษศาสตร์แทน เมื่ออายุได้ 25 ปี

ถึงแม้มหาวิทยาลัย Cornell จะไม่มีตำแหน่งอาจารย์ให้ แต่ McClintock ก็ยังทำงานวิจัยหลังปริญญาเอกต่อที่นั่น โดยได้รับทุนวิจัยจาก National Research Council และ Guggenheim Foundation งานวิจัยของเธอเรื่อง พันธุศาสตร์ของข้าวโพด มุ่งหาวิธีที่จะเห็น chromosome ของข้าวโพด และเข้าใจบทบาทของมัน เธอทำงานที่ Cornell

จนอายุ 34 ปี จึงเริ่มตระหนักว่า อนาคตเธอคงไปไม่ถึงดวงดาวแน่ๆ เพราะ Cornell มีแต่ภาควิชาเศรษฐศาสตร์เท่านั้นที่มีศาสตราจารย์เป็นผู้หญิงประจวบกับขณะนั้น มหาวิทยาลัย Missouri มีการจัดตั้งภาควิชาพันธุศาสตร์ขึ้นโดยมี Craig Stadler เป็นอาจารย์ประจำ และ Stadler นี้คือผู้ที่ทำให้เธอรู้จักใช้รังสีเอ็กซ์ ในการเพิ่มอัตราการกลายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต ซึ่งเทคนิคนี้มีประโยชน์มากในการศึกษาพันธุกรรม เธอจึงเดินทางไปรับตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่ Missouri ทันที

และหลังจากทำงานที่นั่นได้หนึ่งปี หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นลงข่าวว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีชื่อและนามสกุลเหมือนเธอกำลังจะแต่งงาน ทันทีที่รู้ข่าวหัวหน้าภาควิชาพันธุศาสตร์ได้เชิญ McClintock เข้าพบและบอกว่า ถ้าเธอแต่งงาน เธอจะถูกไล่ออก เท่านั้นยังไม่พอ คณบดีคณะวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย Missouri ยังแจ้งให้เธอทราบอีกว่า เมื่อ Stadler เกษียณหรือลาออก เธอก็จะต้องถูกออกจากงานเช่นกัน

McClintock รู้สึกแค้นมากที่ถูกเหยียดหยาม เวลาถูกห้ามไม่ให้เข้าประชุมภาควิชา และภาควิชาไม่เคยให้เธอรับรู้ข่าวคราวเรื่องอัตราว่างที่มหาวิทยาลัยอื่น ดังนั้นเมื่อหัวหน้าภาคพันธุศาสตร์แห่ง Cold Spring Harbor ที่สังกัด Carnegie Institution เชื้อเชิญให้เธอไปเป็นนักวิจัยประจำสถาบัน เธอจึงตอบรับคำเชิญทันที และทำงานประจำที่นี้นาน 50 ปี จนกระทั่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2535 ขณะอายุ 90 ปี ซึ่งเป็นเวลา 2 ปี หลังจากที่สหรัฐฯ เริ่มโครงการวิจัยรหัสพันธุกรรมของมนุษย์ (Human Genome Project)

เมื่อได้งานทำที่ Cold Spring Harbor McClintock ก็เริ่มมีผลงานด้านพันธุศาสตร์ที่โดดเด่นมาก จนได้รับเลือกเป็นสมาชิกของ National Academy of Sciences อันทรงเกียรติที่เทียบเท่ากับการเป็นสมาชิกของ Royal Society ของอังกฤษ และเธอเป็นสตรีคนที่ 3 ที่ได้รับเกียรตินี้เมื่ออายุได้ 42 ปี และอีกหนึ่งปีต่อมาเธอก็ได้เป็นนายกของสมาคมพันธุศาสตร์ของอเมริกา

สุทัศน์ ยกส้าน ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สสวท
McClintock สนใจพันธุศาสตร์มาก และพันธุศาสตร์ของข้าวโพดคืองานวิจัยหลักของเธอ
กำลังโหลดความคิดเห็น