xs
xsm
sm
md
lg

นักโคลนนิงมือหนึ่งของไทย “ดร.รังสรรค์ พาลพ่าย”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"โคลนนิง" คำคุ้นหูที่เราๆ รับรู้ว่าเป็น "วิทยาการ" สำหรับนักวิจัยอินเตอร์ แต่อย่าลืมว่าในเมืองไทยก็ยังมี "ดร.รังสรรค์ พาลพ่าย" นักโคลนนิงมือฉมังที่สร้างชื่อลือลั่นจากการโคลนนิงวัวได้เป็นรายแรกในอาเซียนและรายที่ 6 ของโลก ล่าสุดเพิ่งสร้างความฮือฮาแก่วงการปศุสัตว์ในบ้านเราไปหมาดๆ เมื่อเขาโคลนนิงวัวพันธุ์ขาวลำพูนสำเร็จ ได้ลูกวัวโคลนนิงพันธุ์ไทยแท้เป็นครั้งแรกของโลก นับเป็นเวลากว่า 7 ปีแล้วที่นักโคลนนิงผู้นี้สร้างสำเนาสิ่งมีชีวิตขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างมุ่งมั่นที่จะโคลนนิงสัตว์หายากให้สำเร็จ

ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ.2543 “อิง” ลูกวัวโคลนนิงตัวแรกของไทยได้ถือกำเนิดขึ้น และหลังจากนั้นก็มีลูกวัวโคลนนิงเกิดขึ้นตามมาอีกหลายตัว ไม่ว่าจะเป็นนิโคล, ตูมตาม 2 ไล่ไปถึง ตูมตาม 8, เต้าฮวย และแปะก๊วย

กระทั่งเมื่อวันที่ 21 มี.ค. ที่ผ่านมา “ขาวมงคล” ลูกวัวโคลนนิงตัวล่าสุดจากพ่อพันธุ์ขาวลำพูนก็ได้ฤกษ์ออกมาประกาศความสำเร็จของนักโคลนนิงผู้นี้อีกครั้ง และยังจะมีสำเนาที่เหมือนกับ ขาวมงคล อีก 1 ตัว ที่รอวันครบกำหนดคลอดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลงานของ ดร.รังสรรค์ พาลพ่าย อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีชีวภาพ สำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตร และหัวหน้าศูนย์วิจัยเทคโนโลยีตัวอ่อนและเซลล์ต้น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ปรมาจารย์ด้านการโคลนนิงของเมืองไทยนั่นเอง

เมื่อเห็นผลงานของสุดยอดนักโคลนนิงระดับโลกอย่างอาจารย์รังสรรค์ปรากฏสู่สายตามากมาย ทำให้อยากรู้เบื้องหลังที่มาของผลงาน "ทีมงานผู้จัดการวิทยาศาสตร์" จึงดั้นด้นไปเก็บข้อมูลพร้อมสัมภาษณ์อาจารย์นักโคลนนิงท่านนี้กันถึงห้องแล็บใน มทส. แต่แล้วต้องพบกับความประหลาดใจ เพราะห้องแล็บที่เป็นต้นกำเนิดของวัวโคลนนิงทั้งหลายจากฝีมือของ ดร.รังสรรค์ ไม่ได้ใหญ่โตหรือโอ่อ่ากว่าสถาบันไหน ส่วนทีมผู้ช่วยวิจัยก็เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์นั่นเอง

ดร.รังสรรค์ เล่าถึงผลงานล่าสุดว่า เขาโคลนนิงวัวมาก็หลายตัวแล้ว และเป็นพันธุ์ต่างประเทศทั้งหมด ทำให้อยากทดลองโคลนนิงวัวพันธุ์ไทยบ้าง ประกอบกับวัวขาวลำพูนที่เป็นพันธุ์ไทยแท้หายาก เจ้าของวัวตัวต้นแบบก็อยากจะอนุรักษ์พันธุ์เอาไว้จึงติดต่อประสานมายังศูนย์วิจัยฯ ให้ทำโคลนนิงวัวพันธุ์นี้ ซึ่งวัวโคลนนิงทุกตัวจะต้องผ่านทุกขั้นตอนของการทำโคลนนิงทำในห้องแล็บนี้ทั้งหมด กระทั่งได้ตัวอ่อนที่พร้อมย้ายฝากจึงนำไปย้ายฝากในท้องของแม่วัวตัวรับที่ช่างรุ่งฟาร์ม จ.เชียงใหม่ กระทั่งคลอดออกมา

ทั้งนี้ ยอดนักโคลนนิงของเมืองไทยให้ข้อมูลหลักการทำโคลนนิงสัตว์ว่า ต้องมีเซลล์ร่างกายของสัตว์ต้นแบบ เช่น เซลล์ใบหู และเซลล์ไข่ของสัตว์ชนิดเดียวกัน โดยเก็บเอาเซลล์จากใบหูมาเพาะเลี้ยงในจานที่มีน้ำยาเพาะเลี้ยงเซลล์ เพาะเลี้ยงให้ได้จำนวนมากๆ แล้วแช่แข็งในไนโตรเจนเหลวที่อุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส เก็บไว้เป็นธนาคารเซลล์ เวลาจะใช้ก็นำมาละลายน้ำอุ่นที่ 35-37 องศาเซลเซียส

“ยกตัวอย่างการโคลนนิงวัว จะนำเซลล์ไข่ของวัวมาจากโรงฆ่าสัตว์ ดูดเอาดีเอ็นเอออกไป จากนั้นนำเซลล์ใบหูของวัวที่เพาะเลี้ยงไว้สอดเข้าไปในเซลล์ไข่ แล้วทำให้ผนังเซลล์ใบหูหลอมรวมกับเซลล์ไข่ ทีนี้ดีเอ็นเอจากเซลล์ใบหูก็กลายมาเป็นดีเอ็นเอที่จะควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์ไข่ให้เกิดเป็นตัวอ่อน” ดร.รังสรรค์อธิบายวิธีการทำโคลนนิงวัว ซึ่งหลังจากนั้น จะต้องนำตัวอ่อนที่ได้ไปเลี้ยงในตู้อบก่อนย้ายฝากไว้ในปีกมดลูกของแม่วัวตัวรับแล้วรอวันครบกำหนดคลอดประมาณ 9 เดือน

ลุ้นแพะโคลนนิงตัวแรกใกล้คลอด

ช่างบังเอิญเสียเหลือเกินในช่วงที่เราบุกไปถึงถิ่นนักโคลนนิง ก็ได้ทราบว่าขณะนี้แพะอุ้มบุญในฟาร์มของ มทส. ท้องแก่ใกล้คลอดเต็มทีแล้ว ลูกแพะที่กำลังจะเกิดมาในอีกไม่ช้านี้ก็นับเป็นแพะโคลนนิงตัวแรกของศูนย์วิจัยฯ และในที่สุดลูกแพะโคลนนิงตัวแรกของเราก็ลืมตาดูโลกในไม่กี่วันถัดมา

"ลูกแพะที่เพิ่งคลอดออกมานี่ต้องดูแลเป็นพิเศษสักหน่อย เพราะเขาไม่ค่อยแข็งแรง และไม่ได้คลอดตามธรรมชาติ ปกติแล้วแพะจะตั้งท้องประมาณ 150 วัน แต่ตัวนี้ 154 วัน เราเห็นว่าเกินมา 4 วันแล้วแต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะคลอดแล้วลูกแพะก็ตัวใหญ่ด้วย เลยกลัวว่าจะเป็นอันตราย จึงใช้วิธีผ่าตัดทำคลอดให้เขา ซึ่งลูกแพะโคลนนิงที่เกิดมาก็มีลักษณะปกติดี แต่ตัวค่อนข้างใหญ่กว่าลูกแพะเกิดใหม่ทั่วไปประมาณ 20%” ยอดนักโคลนนิง ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ภายหลัง และบอกว่าเพราะแม่แพะตัวนี้กินเก่ง ลูกแพะก็เลยตัวอ้วนไปหน่อย ทั้งยังบอกด้วยว่าเหลือแม่แพะอีก 1 ตัวที่รอครบกำหนดคลอดอีก 1 เดือนถัดไป

ดร.รังสรรค์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การทำโคลนนิงแพะต่างจากวัวตรงที่การย้ายฝากตัวอ่อน ซึ่งวัวจะย้ายฝากตัวอ่อนอายุ 7 วันเข้าไปในปีกมดลูกข้างที่มีการตกไข่ แต่ในแพะจะมีการตกไข่ทั้งสอง 2 จึงฝากตัวอ่อนอายุ 1 วัน เข้าไปทั้งสองข้างของท่อนำไข่ ทั้งนี้อายุตัวอ่อนที่จะย้ายฝาก ขึ้นกับธรรมชาติของสัตว์แต่ละชนิดว่าตัวอ่อนใช้เวลากี่วันถึงจะฝังตัวกับมดลูกหลังจากได้รับการผสม และวัวมีขนาดใหญ่ สามารถฝากตัวอ่อนโดยล้วงผ่านผนังสำไส้ใหญ่ได้ แต่แพะหรือสัตว์อื่นที่มีขนาดเล็กกว่าต้องเจาะช่องท้องเพื่อฝากตัวอ่อน ส่วนขั้นตอนเริ่มต้นการโคลนนิงใช้เทคนิคเดียวกันทุกชนิด

กว่าจะมาเป็นนักโคลนนิงนามกระเดื่อง

ก่อนหน้าที่จะมีผลงานแพะและวัวโคลนนิงมากมายเช่นทุกวันนี้ นายรังสรรค์ พาลพ่าย บัณฑิตสาขาเคมีและชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา เกิดความสนใจที่จะศึกษาเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ของสัตว์ จึงไม่ขอรับทุนศึกษาต่อปริญญาโทที่สถาบันเดิม แต่เลือกที่จะเรียนต่อในสาขาวิชาที่เขาสนใจ

“พอเรียนจบปริญญาตรี ทาง ม.บูรพา ก็จะให้ทุนเรียนต่อในสาขาเดิม แต่ตอนนั้นรู้สึกสนใจเกี่ยวกับเรื่องระบบสืบพันธุ์ของสัตว์ อยากเรียนต่อทางด้านนี้มากกว่า ก็เลยเลือกมาสอบเข้าปริญญาโทที่ภาควิชาสัตววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ เมื่อปี 2523” ดร.รังสรรค์ เล่าบทเริ่มต้นก่อนมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักของวงการโคลนนิงทั่วโลกในปัจจุบัน

“สมัยเรียนปริญญาโทนี่ลำบากมาก ต้องหาเงินเรียนเอง ทำให้ต้องเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย โดยการรับจ้างสอนพิเศษ เริ่มจากติดประกาศตามอาคารต่างๆ ในมหาวิทยาลัย ก็เริ่มมีติดต่อเข้ามา ช่วงแรกๆ จะเป็นลูกอาจารย์ ก็จะสอนไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเท่าไหร่ หลังๆ ไปสอนไกลถึงบางกะปิโน่น เลิกเรียนก็ขึ้นรถเมล์ไปแล้ว สอนทุกวันที่มีเวลาว่าง วันเสาร์อาทิตย์ก็ไม่หยุด ถ้าหยุดก็ไม่มีเงินใช้ ไม่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียน เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ได้เที่ยวเล่นตามประสาสักเท่าไหร่ แล้วยังต้องขยันเรียนมากกว่าเพื่อนอีกเป็น 2 เท่า” ดร.รังสรรค์ เล่าถึงสมัยเรียนที่ต้องขยันและอดทนมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ที่เรียนด้วยกัน ซึ่งก็สำเร็จการศึกษาได้ภายในเวลา 2 ปีครึ่ง

หลังจากสำเร็จการศึกษาปริญญาโทจึงได้มาเป็นนักวิจัยอยู่ที่คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขณะทำงานอยู่ที่นั่นก็ได้ทุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นไปศึกษาต่อปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยเกียวโต (Kyoto University) ประเทศญี่ปุ่น ในสาขาวิชาเทคโนโลยีชีวภาพระบบสืบพันธุ์สัตว์ (Animal Reproduction)

“เรียนปริญญาเอกที่ญี่ปุ่น 4 ปี ที่นั่นให้อะไรเราหลายอย่าง โดยเฉพาะการทำงานวิจัยที่เราต้องทำเองทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่ล้างเครื่องมืออุปกรณ์ ไม่มีใครทำให้ ไม่มีแล็บบอยหรือผู้ช่วยเหมือนในบางประเทศที่ทำวิจัยก็วิจัยอย่างเดียวเลย แต่ที่ญี่ปุ่นทุกคนต้องจัดการเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเอง” ยอดนักโคลนนิง เล่าประสบการณ์ในต่างแดน ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งเสริมให้เขาก้าวมาถึงวันนี้ แต่ก่อนหน้าที่เขาจะกลับมาทำงานวิจัยในสังกัดเดิม เขายังได้รับข้อเสนอให้อยู่ทำงานวิจัยต่อที่ญี่ปุ่น ซึ่งจะได้รับค่าตอบแทนในอัตราสูงกว่าบ้านเรามาก แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะกลับมาทำประโยชน์ให้กลับประเทศชาติของตัวเอง

“ที่ญี่ปุ่นอาจจะให้ค่าตอบแทนสูงกว่าเมืองไทยหลายเท่า แม้จะตัดสินใจรับข้อเสนอนั้นและไม่ว่าจะอยู่ต่ออีกสักกี่ปี ในที่สุดเราก็ต้องกลับเมืองไทยอยู่ดี เพราะบ้านเราอยู่ที่นี่ ถ้าอย่างนั้นก็กลับมาเริ่มต้นเสียที่นี่เลยดีกว่า ผลงานที่ได้ก็เป็นของประเทศเราด้วย” ดร.รังสรรค์ให้เหตุผล ทั้งนี้เพราะภรรยาและครอบครัวของเขาล้วนแล้วแต่อยู่ที่ประเทศไทยทั้งสิ้น

สร้างชื่อจากผลงานวัวโคลนนิงตัวแรก

เมื่อเรียนจบคว้าใบปริญญาเอกจากแดนปลาดิบสำเร็จ ดร.หมาดๆ ก็กลับมาทำงานวิจัยอยู่ที่จุฬาฯเช่นเดิม และ 2 ปีถัดมาก็ประสบความสำเร็จกับผลงานชิ้นโบแดงที่สร้างชื่อเสียงไปทั่วโลก เมื่อเขาโคลนนิงวัวสำเร็จเป็นครั้งแรก

“เพราะสนใจในเรื่องของระบบสืบพันธุ์สัตว์ เทคโนโลยีชีวภาพในการผลิตสัตว์ แล้วก็ทำงานคลุกคลีอยู่กับวัวกับควาย มาตลอดตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาโท ล้วงก้นวัวอยู่ทุกวัน วันละเป็นร้อยตัว เรื่องเทคนิคต่างๆ เช่น การผสมเทียม การย้ายฝากตัวอ่อนก็ทำมาจนชำนาญแล้ว เลยคิดอยากจะโคลนนิงวัวดูบ้าง พื้นฐานทุกอย่างเราก็ทำได้หมดแล้ว ดังนั้น พอเรียนจบกลับมาจากญี่ปุ่นเมื่อปี 2541 ก็เริ่มศึกษาและทำโคลนนิงวัว” ดร.รังสรรค์ เล่าที่มาของความสำเร็จจากวัวโคลนนิงตัวแรกของไทย

“ได้วัวโคลนนิงจากเซลล์ใบหูตัวแรกในประเทศไทย เป็นเพศเมีย พันธุ์แบรงกัส คลอดออกมาเมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2543 ซึ่งตอนนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่ และยังแข็งแรงดีด้วย เขาอยู่กับเกษตรกรที่ จ.ราชบุรี อิงผสมพันธุ์ตามธรรมชาติก็สามารถมีลูกได้ตามปกติ แล้วลูกที่เกิดมาก็ปกติดี ไม่มีปัญหาอะไร เมื่อตอนที่เขาคลอดลูกครั้งแรกยังไปเยี่ยมเขาด้วยเลย แต่ระยะหลังๆไม่ค่อยได้ไปแล้ว ไม่ค่อยมีเวลา แต่ก็โทรติดต่อกับเจ้าของที่เลี้ยงเขาอยู่เสมอ” ดร.รังสรรค์ กล่าวถึง อิง วัวตัวแรกที่เขาโคลนนิงได้ ตอนนี้ อิงให้กำเนิดลูกจากการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติประมาณ 4-5 ตัว แล้ว

แม้จะสร้างชีวิตลูกวัวโคลนนิงจนออกลูกออกหลานกันถ้วนทั่ว แต่ใครจะรู้ว่ายอดนักโคลนนิงวัยเกือบ 50 ปีผู้นี้ยังไม่มีทายาทไว้เชยชม เพราะภรรยาคู่ชีวิตสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงและมีบุตรยาก ถึงจะผ่านการทำกิฟท์มาหลายครั้งแล้วก็ตามแต่ก็ไม่ประสบผล

ทำสำเนาเพื่ออนุรักษ์สายพันธุ์สัตว์ป่าหายาก

เรียกได้ว่า อิง สร้างปรากฏการณ์แก่วงการโคลนนิงขึ้นในประเทศไทย ทำให้มีการศึกษาวิจัยถึงเรื่องนี้กันมากขึ้น แต่ก็ยังไม่มีใครมีผลงานโคลนนิงที่โดดเด่นไปกว่า ดร.รังสรรค์หลังจากที่โคลนนิงอิงได้สำเร็จ ปลายปีเดียวกันนั้นเขาได้มาเป็นอาจารย์อยู่ที่ มทส. และยังโคลนนิงวัวได้อีกเกือบ 20 ตัว นอกจากนั้นยังมีแมวบ้าน แมวหลายหินอ่อน กระทิง กระบือ ซึ่ง 3 ชนิดหลังยังเป็นตัวอ่อนที่รอการย้ายฝาก

หลังจากที่โคลนนิงวัวจนเกิดความชำนาญแล้ว ดร.รังสรรค์ จึงเริ่มทดลองโคลนนิงกระทิง เพราะเป็นสัตว์สายพันธุ์ใกล้ชิดกับกับวัว อีกทั้งยังเป็นสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ จึงอยากใช้เทคโนโลยีนี้ให้เกิดประโยชน์ในเชิงอนุรักษ์พันธุ์สัตว์หายาก แต่มีอุปสรรคอยู่ที่ต้องย้ายฝากตัวอ่อนของกระทิงในท้องของแม่วัว ซึ่งเป็นสัตว์คนละสปีชีส์กัน ทำให้ยากที่จะสำเร็จมากกว่าการโคลนนิงวัวโดยทั่วไป

“เราทำโคลนนิงกระทิงและต้องนำตัวอ่อนกระทิงย้ายฝากในท้องวัว ซึ่งกระทิงกับวัวเป็นสัตว์คนละสปีชีส์กัน ทำให้โอกาสสำเร็จยากกว่า ที่ผ่านมาเราสามารถทำให้แม่วัวตั้งท้องลูกกระทิงได้แล้วถึง 6 ตัว แต่สุดท้ายก็แท้งไป ที่นานสุดนี่ท้องประมาณ 6 เดือนแล้วแท้ง ซึ่งอีกไม่กี่เดือนก็จะคลอดแล้ว น่าเสียดายมาก แต่เราก็ยังพยายามกันอยู่ เพราะทำให้ตั้งท้องได้นี่ถือว่ามาเกินครึ่งทางแล้ว ตอนนี้ก็กำลังจะย้ายฝากตัวอ่อนเพิ่มอีกกับแม่วัวประมาณ 15 ตัว” ยอดนักโคลนนิงเล่าให้ฟังถึงอุปสรรคในการโคลนนิงกระทิงที่เข้าใกล้ความสำเร็จไปทุกขณะ

ไม่เพียงแต่กระทิงเท่านั้นที่มีอุปสรรคทำให้การโคลนนิงยังไม่สำเร็จ ยังมีสัตว์ป่าหายากใกล้สูญพันธุ์เช่นเดียวกับกระทิงอีกด้วยชนิดหนึ่งที่อยู่ในโครงการโคลนนิงของ ดร.รังสรรค์ เพื่อรักษาสายพันธุ์เอาไว้ นั่นคือ แมวลายหินอ่อน ซึ่งดูท่าว่าจะสำเร็จยากพอกันหรืออาจยากกว่าเสียอีก

เราโคลนนิงแมวลายหินอ่อนด้วยเหมือนกัน แต่ใช้แมวบ้านเป็นแม่อุ้มบุญ ซึ่งเป็นสัตว์คนละสปีชีส์ เลยประสบปัญหาเดียวกับกระทิง คือทำให้ตั้งท้องได้แล้ว แต่แท้ง เป็นอยู่อย่างนี้หลายครั้ง เลยทบทวนดูว่าผิดพลาดตรงไหนบ้างหรือเปล่า หรือว่าเทคนิคเรายังไม่ดีพอ ทีนี้เลยลองกลับมาเริ่มต้นจากศูนย์ คือทดลองโคลนนิงแมวบ้านดูก่อน ทำเหมือนกันทุกอย่างเลย จนกระทั่งได้ลูกแมวโคลนนิงออกมา 2 ตัว แต่อยู่ได้ไม่นานก็ตายเพราะท้องเสียรุนแรง ตัวหนึ่งอยู่ได้ 2 วัน อีกตัวอยู่ได้ 5 วัน” ดร.รังสรรค์ เล่า

นักวิจัย มทส.ให้เหตุผลว่าที่ไม่สามารถหาแมวลายหินอ่อนเพศเมียมาเป็นแม่อุ้มบุญได้ เพราะตอนนี้ใน ประเทศไทยมีแมวลายหินอ่อนเหลืออยู่น้อยมาก คาดว่าเหลือไม่ถึงร้อยตัวด้วยซ้ำ และโอกาสพบเห็นก็แทบจะไม่มี ทว่าก่อนนี้ที่สวนสัตว์ จ.นครราชสีมา ก็เคยมีอยู่ 2 ตัว แต่เสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงทดลองโคลนนิงแล้วฝากในแมวบ้าน แต่แมวบ้านกับแมวลายหินอ่อนมีขนาดต่างกันพอสมควร อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การโคลนนิงยังไม่สำเร็จ

วัวโคลนนิงจะอายุสั้นเหมือนกับแกะดอลลีไหม ?

ก่อนนี้เคยกังวลกันว่า สัตว์ที่เกิดจากการโคลนนิงจะมีอายุสั้น ดังเช่นกรณีของ “แกะดอลลี” สัตว์โคลนนิงตัวแรกของโลก ที่เสียชีวิตเมื่อมีอายุได้เพียงครึ่งหนึ่งของแกะทั่วไป คือ 6 ปี โดยป่วยด้วยอาการไขข้ออักเสบ ซึ่งคล้ายกับแกะอายุมาก ร่วมด้วยปอดติดเชื้อรุนแรง

ทั้งนี้ อาจารย์นักโคลนนิงแห่ง มทส. แสดงความเห็นว่า เป็นไปได้ที่เทคโนโลยีการโคลนนิงในครั้งนั้นยังเป็นสิ่งใหม่อยู่ อาจจะยังไม่สมบูรณ์แบบในทุกขั้นตอน เลยมีส่วนทำให้ดอลลีมีอายุสั้นกว่าแกะปกติ เช่น อาจบังเอิญไปเลือกเอาเซลล์ที่อายุมากแล้วหรือไม่ค่อยสมบูรณ์จากเซลล์จำนวนมากที่เพาะเลี้ยงเอาไว้ หรืออาจเป็นเพราะนำเซลล์ต้นแบบมาจากแกะอายุ 6 ปี ทำให้ดอลลีเกิดมาแล้วเริ่มต้นที่อายุ 6 ปี แทนที่จะเริ่มจากศูนย์เหมือนสิ่งมีชีวิตทั่วไปที่เกิดจากการผสมของเซลล์สืบพันธุ์ตามธรรมชาติ

“นักวิทยาศาสตร์เคยนำตัวอย่างเซลล์ของดอลลีเมื่ออายุ 3 ปีไปตรวจเปรียบเทียบกับเซลล์แกะที่เกิดโดยวิธีธรรมชาติ อายุ 3, 6 และ 9 ปี ผลปรากฏว่า เซลล์ของดอลลีมีอายุเท่ากับเซลล์ของแกะอายุ 9 ปี แต่กรณีนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นในวัว และได้เคยนำเซลล์ของวัวโคลนนิงไปตรวจเปรียบเทียบกับเซลล์ของวัวธรรมชาติที่อายุใกล้เคียงกัน พบว่าอายุของเซลล์ก็ไม่แตกต่างกัน” ดร.รังสรรค์ กล่าวเปรียบเทียบกรณีของแกะดอลลี กับวัวโคลนนิงที่เขาสร้างขึ้น แต่อย่างไรก็ดี ปรมาจารย์โคลนนิงของเมืองไทยเองหรือแม้แต่นักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ ก็ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดในเรื่องนี้ ยังต้องศึกษาและเก็บข้อมูลต่อไป ทั้งนี้ทั้งนั้น เทคนิคการโคลนนิงวัวที่ทีมวิจัยของเขาใช้ก็ยังคงเป็นวิธีเดียวกับของแกะดอลลี แต่ต่างกันที่น้ำยาเลี้ยงตัวอ่อนที่พัฒนาให้เมาะสมกับตัวอ่อนของแต่ละชนิดเท่านั้น

เริ่มงานวิจัยสเต็มเซลล์จากตัวอ่อนมนุษย์และลิง

นอกจากการโคลนนิงแล้ว ดร.รังสรรค์ ยังสนใจและมีโครงการวิจัยเกี่ยวกับ “สเต็มเซลล์” จากตัวอ่อนลิงและจากตัวอ่อนมนุษย์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเริ่มดำเนินงานและเตรียมความพร้อมของห้องแล็บใหม่แกะกล่อง ที่จำเป็นต้องใช้ห้องปลอดเชื้อ สำหรับศึกษาสเต็มเซลล์จากตัวอ่อนมนุษย์โดยเฉพาะ

“การศึกษาวิจัยสเต็มเซลล์จะมีประโยชน์ต่อการรักษาโรคในอนาคตเป็นอย่างมาก และสเต็มเซลล์จากตัวอ่อนยังมีข้อเหนือกว่าสเต็มเซลล์จากร่างกาย เพราะนอกจากจะเป็นเซลล์ต้นกำเนิดอย่างแท้จริงแล้ว ยังสามารถแบ่งเซลล์ได้อย่างไม่มีขีดจำกัดในสภาวะที่ควบคุมให้เหมาะสม แต่สเต็มเซลล์จากร่างกายจะต้องเก็บเอามาเพาะเลี้ยงใหม่อยู่เสมอ” ดร.รังสรรค์ กล่าวถึงประโยชน์ที่จะได้จากการศึกษาวิจัยสเต็มเซลล์จากตัวอ่อนมนุษย์

อย่างไรก็ดี กฏหมายประเทศไทยยังไม่อนุญาตให้นำตัวอ่อนที่เหลือจากการทำเด็กหลอดแก้วจากโรงพยาบาลในประเทศมาทำวิจัย ซึ่ง ดร.รังสรรค์ ได้ชี้แจงว่า เมื่อประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายชัดเจนในการทำวิจัยสเต็มเซลล์จากตัวอ่อนมนุษย์ เขาจึงเลือกที่จะศึกษาโดยนำตัวอ่อนมนุษย์ที่เหลือจากโรงพยาบาลในประเทศที่อนุญาตให้ใช้ได้ และได้รับการยินยอมพร้อมกับการเซ็นชื่อรับรองการบริจาคเพื่อศึกษาวิจัยจากครอบครัวนั้นแล้ว

“ในบางประเทศ อนุญาตให้วิจัยสเต็มเซลล์จากตัวอ่อนมนุษย์ได้ ทั้งนี้ ตัวอ่อนมนุษย์ที่เหลือจากการทำเด็กหลอดแก้ว จะถูกเก็บแช่แข็งไว้ในโรงพยาบาล เมื่อถึงเวลาก็ต้องทิ้งไป เพราะฉะนั้นบางประเทศที่เขาเล็งเห็นประโยชน์ เขาก็อนุญาตให้ใช้ได้ ซึ่งก็ต้องมีกฎหมายชัดเจน แต่กฏหมายประเทศเรายังไม่อนุญาตในเรื่องนี้ เพราะยังมีเรื่องของจริยธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง” ดร.รังสรรค์ กล่าว

แม้ว่านักโคลนนิงระดับปรมาจารย์อย่าง ดร.รังสรรค์ จะมีโครงการวิจัยสเต็มเซลล์จากตัวอ่อนมนุษย์ แต่เขาก็ไม่เคยมีความคิดจะใช้วิธีโคลนนิงเพื่อให้ได้ตัวอ่อนมนุษย์ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องไม่สมควรกระทำและผิดจริยธรรมอย่างยิ่ง สำหรับตัวอ่อนที่เหลือจากการทำเด็กหลอดแก้วให้แก่ผู้ที่มีบุตรยาก ในที่สุดแล้วทางโรงพยาบาลก็ต้องทิ้งไป ซึ่งหากนำมาใช้ในแง่ของการวิจัยน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการรักษาชีวิตมนุษย์จากโรคร้ายในภายภาคหน้าได้ไม่น้อยทีเดียว

พยายามขอทุนอย่างมุ่งมั่นเพื่อให้ได้ทำงานวิจัยตามที่มุ่งหวัง

แม้จะมีไอเดียบรรเจิดแค่ไหนแต่หากไร้ทุนสนับสนุนก็ยากที่จะเห็นผลงานสำเร็จเป็นรูปร่างขึ้นมาได้ แม้แต่สุดยอดนักโคลนนิงผู้นี้ยังต้องอาศัยความพยายามอย่างมุ่งมั่นกว่าจะได้มาซึ่งเงินสนับสนุนโครงการวิจัย ซึ่ง ดร.รังสรรค์ ได้เล่าให้ฟังถึงประสบการณ์การขอทุนเพื่อวิจัยเรื่องสเต็มเซลล์จากตัวอ่อนของลิงที่เขาทุ่มเทเสนอโครงการและเฝ้ารออย่างมีความหวังนานกว่าปีครึ่ง สุดท้ายก็ไม่ได้รับการสนับสนุนแต่อย่างใด นั่นทำให้เขามุมานะที่จะต้องทำงานวิจัยชิ้นนี้และต้องทำสำเร็จให้จงได้ หลังจากพลาดหวังทุนในครั้งนั้น เขาเริ่มเขียนโครงการวิจัยเรื่องเดิมขึ้นมาใหม่ แต่คราวนี้ยื่นเสนอกับทาง มทส. โดยตรง ซึ่งเมื่อผู้บริหารพิจารณาดูแล้วก็อนุมัติทุนสำหรับทำวิจัยทันที เพราะเชื่อมั่นในศักยภาพของนักวิจัยและมองเห็นโอกาสสำเร็จได้ไม่ยาก

“เมื่อที่นั่นไม่ให้เราก็มุ่งหาทางอื่นต่อไป ต้องหาต่อไปเรื่อยๆ เพราะเราอยากวิจัยและตั้งใจจริงๆ ฉะนั้นก็ต้องพยายามหาทุนให้ถึงที่สุด ในที่สุดก็ได้ทุนสนับสนุนจาก มทส. ” ดร.รังสรรค์กล่าว

นอกจาก มทส. ยังมีอีกหลายหน่วยงานที่สนับสนุนทุนแก่งานวิจัยของนักวิจัยผู้มากผลงาน ล่าสุดก็ได้ทุนจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำหรับวิจัยการโคลนนิงกระทิง และจากประสบการณ์ที่เต็มเปี่ยมทั้งด้านงานวิจัยและการดำเนินชีวิตที่ต้องอาศัยความขยัน อดทน ทำให้ ดร.รังสรรค์ พยายามถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้แก่ลูกศิษย์ทุกคนที่เป็นส่วนหนึ่งในทีมวิจัยของเขานั่นเอง ซึ่งทุนวิจัยที่ได้มาเหล่านั้นก็เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกศิษย์ได้ศึกษาและพัฒนาศักยภาพของตนเองกันอย่างเต็มที่

เราเคยมีประสบการณ์เรื่องขอทุนวิจัยไม่ได้มาก่อน เลยไม่อยากให้เรื่องทำนองนี้มาเป็นสิ่งปิดกั้นพวกเขา จึงเปิดโอกาสให้เขาได้ทำวิจัยกันอย่างเต็มที่ ไม่ให้เขาต้องกังวลเรื่องค่าเล่าเรียนหรือค่าใช้จ่าย ซึ่งเราจะยกเว้นค่าเล่าเรียนให้พร้อมกับมีเงินเดือนให้เขา แต่เขาจะต้องขยันและตั้งใจทำกันจริงๆ เรื่องไหนที่เขาสนใจและอยากทำ ก็จะให้ทุนทำวิจัย เพราะอยากให้พวกเขาเป็นนักวิจัยที่มีศักยภาพ มีความสามารถอย่างแท้จริง ทำได้เองทุกขั้นตอน รู้ทุกกระบวนการ ตั้งแต่งานวิจัยไปจนถึงงานล้างเครื่องมือที่ใช้เอง” ดร.รังสรรค์ กล่าว

ทั้งนี้ นักวิจัยเลือดข้นวัยเกือบ 50 ปี ผู้นี้ ต้องการปั้นนักวิจัยรุ่นใหม่ให้มีคุณภาพคับแก้วโดยเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ทำงานวิจัยโดยที่ไม่ต้องมีอุปสรรคเรื่องเงินทุน อีกทั้งยังมีเป้าหมายว่า อยากผลิตนักวิจัยปริญญาโทและเอกที่มีศักยภาพปีละ 20 คน ให้ได้ เพื่อที่จะได้ช่วยกันสร้างสรรงานวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติต่อไป

“นักวิทยาศาสตร์เมื่อคิดโครงการขึ้นมาได้แล้วก็ต้องอยากทำให้สำเร็จ เมื่อที่หนึ่งไม่ให้ทุน เราก็ต้องขวนขวายจากที่อื่นต่อไป ไม่มีอะไรสามารถปิดกั้นนักวิทยาศาสตร์ได้ มันคล้ายกับดินน้ำมันที่อยู่ในมือ ยิ่งถ้าเราบีบมันก็จะยิ่งทะลักออกมาตามช่องว่างระหว่างนิ้ว วิทยาศาสตร์เป็นสากล จะทำงานวิจัยที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น สารเคมีที่ใช้เหมือนกัน อุปกรณ์ที่ใช้ก็คล้ายกัน หากเราขอทุนวิจัยแล้วไม่ได้รับการสนับสนุนในทันที เราต้องไม่ท้อแท้ เมื่อที่หนึ่งไม่ให้ก็พยายามหาที่อื่นต่อไป ย่อมต้องมีสักที่ที่เปิดโอกาสให้เราจนได้” สุดยอดนักโคลนนิงกล่าวเปรียบเปรยแต่แฝงแง่คิด ซึ่งหากเราไม่ท้อแท้ง่ายๆ ความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอน




ตู้ปลอดเชื้อสำหรับเตรียมเซลล์ไข่และเซลล์ร่างกายให้พร้อมก่อนการโคลนนิง

กำลังโหลดความคิดเห็น