เอเอฟพี/เอพี/เลอมองด์ – "เดอ เจนเนอส์" นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลชาวฝรั่งเศส ผู้นำการศึกษาเทคนิคผลึกเหลว เสียชีวิตแล้ว ผลงานของเขาเป็นรากฐานการพัฒนาใช้จอ "แอลซีดี" อย่างแพร่หลาย และด้วยความสามารถที่หลากหลายทั้งฟิสิกส์ โพลิเมอร์ ชีววิทยา ศิลปะ นอกจากเขาได้รับขนานนามให้เป็น "บิดาแห่งแอลซีดี" แล้ว ยังได้รับการยกย่องให้เป็น "ไอแซคนิวตันแห่งยุค" อีกด้วย
ปิแยร์-จิลเลส์ เดอ เจนเนอส์ (Pierre-Gilles de Gennes) นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส ผู้ค้นพบเทคนิคที่นำไปสู่การพัฒนาจอภาพแบบผลึกเหลว หรือ "แอลซีดี" (liquid crystal display : LCD) ที่กลายเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานสำคัญตามอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ในปัจจุบันทั้งจอโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ ได้เสียชีวิตลงอย่างสงบที่บ้านในกรุงปารีส เมื่อวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมาด้วยวัย 74 ปี โดยภรรยาและลูก 3 คนจะจัดการพิธีศพอย่างเป็นส่วนตัวในวันที่ 23 พ.ค.
"เดอ เจนเนอส์" ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี 2534 จากผลงานการค้นคว้าที่ไม่เคยมีผู้ใดทำได้มาก่อนในเรื่อง "ผลึกเหลว" (liquid crystals) การทำให้สารมีคุณสมบัติเป็นทั้งของเหลวและผลึก อีกทั้งยังศึกษาในเรื่องโพลิเมอร์ โดยคณะกรรมการพิจารณารางวัลยังได้ยกย่องให้เขาเป็นเสมือน “ไอแซค นิวตันแห่งยุคสมัย”
ประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โกซี (Nicolas Sarkozy) แห่งฝรั่งเศส กล่าวอาลัยต่อการสูญเสียเดอ เจนเนอส์นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก โดยให้คำจำกัดความเดอ เจนเนอส์ว่า เป็นนักฟิสิกส์ที่พิเศษและเป็นหนึ่งในสุดยอดนักวิทยาศาสตร์ ขณะที่นายกรัฐมนตรีฟรังซัวส์ ฟิยง (Francois Fillon) สรรเสริญเดอ เจนเนอส์ว่า เขาเป็นผู้ที่มีความเมตตา และเป็นเครื่องหมายแห่งความสุดยอดในวงการวิจัยของฝรั่งเศส
เดอ เจนเนอส์เกิดในปารีสเมื่อปี 2475 และเรียนแบบโฮมสคูลโดยมีพ่อแม่คอยสอนหนังสือให้ จนกระทั่งอายุ 12 ปี จากนั้นจึงเข้าเรียนที่ École Normale Supérieureจากนั้นก็เป็นวิศวกรวิจัยให้กับกระทรวงพลังงานปรมาณู ที่นั่นเขาศึกษาการกระเจิงของอนุภาคนิวตรอน และอำนาจในการดึงดูดของแม่เหล็ก จนกระทั่งจบปริญญาเอก
จากนั้นในปี 2502 เขาศึกษาต่อระดับหลังปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่เบิร์กเลย์ (University of California, Berkeley) สหรัฐฯ กระทั่งปี 2504 เขาได้ตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยออร์เซย์ (Orsay University) ในฝรั่งเศส โดยเริ่มตั้งกลุ่มศึกษาเรื่องตัวนำยิ่งยวด (supraconductor) ขึ้นที่นั่น และอีก 7 ปีถัดมาก็หันมาศึกษาเรื่อง "ผลึกเหลว" ผลงานของเขาทำให้ฝรั่งเศสกลายเป็นผู้นำในการศึกษาทางด้านนี้
จากหนังสือ "เดอะ ฟิสิกส์ ออฟ ลิควิด คริสตัลส์" (The Physics of Liquid Crystals) หรือฟิสิกส์ของผลึกเหลว ที่เดอ เจนเนอส์เขียนขึ้นได้รับการตีพิมพ์ในปี 2517 กลายเป็นเกณฑ์มาตรฐานสำหรับผลงานในสาขานี้ และได้รับการยกย่องว่าสามารถสื่อสารให้สาธารณะเข้าใจได้
เดอ เจนเนอส์เขียนอธิบายการจัดการกับผลึกเหลวไว้อย่างเข้าใจง่าย โดยยกตัวอย่างเปรียบเทียบผลึกเหลวหรือคริสตัลกับผลแอปเปิ้ลในตระกร้า ถ้าตระกร้าถูกเขย่าคริสตัลก็จะจัดเรียงตัวใหม่ การเปลี่ยนแปลงจากโครงสร้างที่เป็นระเบียบอย่างคริสตัลกลายเป็นไม่มีระเบียบแบบของเหลวจากด้านล่างขึ้นมา ตามผลงานการศึกษาของเดอ เจนเนอส์ในเทคนิคแอลซีดี ซึ่งเปลี่ยนจากสถานะโปร่งใสเป็นทึบแสงโดยการใช้ความร้อนจากการกระตุ้นของไฟฟ้า
นอกจากนี้ยังมี ผลงานอื่นๆ ของเดอ เจนเนอส์ที่ประสบความสำเร็จก็มี โดยเฉพาะในเรื่อง "โพลิเมอร์" หลังจากเขาไปได้ดีกับ "แอลดี" แล้ว เขาก็เริ่มหันไปสนใจที่จะเป็นนักฟิสิกส์สาขาโพลิเมอร์บ้าง โดยในปี 2514 เขาศึกษาห่วงโซ่โมเลกุลของเจลและโพลิเมอร์ เพราะเขารู้สึกประหลาดใจกับความเหนียวของซูเปอร์กลู
"สักวันหนึ่งเราอาจจะสร้างเครื่องบินด้วยกาวแทนการใช้หมุดยึด แต่ปัญหาคือพวกเราไม่เข้าใจว่ากาวเกาะติดกับพื้นผิวที่สัมผัสได้อย่างไร" เดอ เจนเนอส์กล่าวระหว่างการประชุมที่สก็อตแลนด์ในปี 2545
ใช่แค่ฟิสิกส์เท่านั้นแต่เดอ เจนเนอส์ ยังมีความสนใจในสาขาอื่นๆ อีกมากมาย เขาเคยศึกษาเรื่องการทำงานของสมอง ระหว่างที่ทำงานอยู่ห้องปฏิบัติการทางการแพทย์แห่งสถาบันกูรี
นอกจากนี้เขายังหลงใหลในการวาดภาพ เดอ เจนเนอส์ชื่นชอบศิลปะญี่ปุ่นเป็นพิเศษ อีกทั้งเขายังเขียนหนังสือแนวเสียดสีเรื่อง "เปอตี ปวงต์" (Petit Point) หรือแปลว่าจุดเล็กๆ (Small Point) ถากถางตั้งแต่สถาบันวิชาการกระทั่งโลกที่เต็มไปด้วยแนวคิดเพื่ออุตสาหกรรม
ในปี 2540 เขายังร่วมแสดงภาพยนตร์เกี่ยวกับปิแยร์และมารี กูรี เรื่องราวของ 2 สามีภรรยานักเคมีผู้โด่งดังตลอดกาล ร่วมกับดาราชั้นนำของฝรั่งเศส โดยเดอ เจอเนอส์รับบทเป็นคนส่งของ และยังมีจอร์จ ชาร์ปาก (George Charpak) นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลปี 2535 แสดงเป็นคนส่งของร่วมกับเขาด้วย