"วิทยาศาสตร์" กับ "ภูมิปัญญาชาวบ้าน" 2 สิ่งนี้หลายคนคงสงสัยเป็นแน่หากมีคนบอกว่ามีความเกี่ยวพันกัน เพราะออกจะต่างกันคนละขั้วระหว่างภาพของ "สมัยใหม่" และ "ดั้งเดิม" ที่ยากจะผสานกันลงตัว ทว่านักสัตววิทยารุ่นใหม่จาก ม.เกษตรศาสตร์ก็ยืนยันว่าทั้ง 2 สิ่งนี้มีความสัมพันธ์กันจริง ผ่านการวิจัยเรื่อง "เห็ดโคนกับการจัดการที่ยั่งยืน" ที่สะท้อนว่าบางทีภูมิปัญญาท้องถิ่นก็สามารถอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ให้รู้สึกทึ่งได้เช่นกัน
อ.จิรนันท์ ธีระกุลพิสุทธิ์ นักสัตววิทยารุ่นใหม่จาก ม.เกษตรศาสตร์ กำแพงแสน เล่าว่า การวิจัยนี้เริ่มต้นจากตัวเองสนใจและได้ทำงานวิจัยเรื่องดังกล่าวในชุมชนห้วยเขย่ง อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี โดยการสนับสนุนของโครงการพัฒนาองค์ความรู้และศึกษานโยบายการจัดการทรัพยากรชีวภาพในประเทศไทย (บีอาร์ที) เพื่อศึกษาถึงการดำรงอยู่ของเห็ดโคนซึ่งเป็นของป่าหายากของสวนป่าทองผาภูมิ อันเป็นแหล่งสร้างรายได้ให้แก่ชาวบ้านจำนวนมากที่มีอาชีพรองคือการเก็บของป่าไปขาย
พร้อมกันนั้น ชาวบ้านก็ได้อนุรักษ์และมีการจัดการอย่างยั่งยืนด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อไม่ให้เห็ดโคนหมดไปอย่างสิ้นเชิง อย่างที่ชุมชนห้วยเขย่งเองซึ่งเป็นแหล่งรวมของหลายเชื้อชาติด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นไทย พม่า กระเหรี่ยง ลาว และมอญ จึงทำให้เป็นแหล่งรวมของภูมิปัญญาหลายสายไว้ในแหล่งเดียวกัน
อ.จิรนันท์ ชี้ว่า ในส่วนนี้เอง ภูมิปัญญาชาวบ้านในการเก็บหาเห็ดโคนของแต่ละชาติพันธุ์จึงล้วนแฝงความหมายไว้ซึ่งการพึ่งพิงประโยชน์จากเห็ดโคนอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะชาวบ้านสมัยก่อนซึ่งได้ดูแลพื้นที่ป่าชุมชนไว้ได้ดี เพราะไม่ได้คิดถึงเรื่องของการค้าขายและผลกำไรจากการขายของป่ามาเป็นหลักคิดสำคัญ แต่เห็นว่าป่าเป็นพื้นที่ที่มีบุญคุณ
เนื่องจากป่าได้ให้กำเนิดของป่าไว้หลากหลายชนิดด้วยกัน เช่น พืชผักกินได้ ปลา กบ หน่อไม้ หญ้าแฝก และไผ่ป่า รวมไปถึงเห็ดโคน โดยปีหนึ่งๆ ชาวบ้านแต่ละครัวเรือนจะเข้าไปหาของป่ากันบ่อยมากเฉลี่ย 100-150 ครั้ง/ปี พวกเขาจึงสร้างกฎ ข้อห้าม และและขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ เพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติไว้มากมาย
หากมองด้วยสายตาของนักวิทยาศาสตร์แล้ว อาจคิดว่าคนสมัยก่อนล้าสมัย มีความเชื่อที่งมงาย แต่ถ้ามองย้อนไปในแง่สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา จะพบว่าคนสมัยก่อนอยู่กับธรรมชาติและอนุรักษ์เห็ดโคนได้ดีกว่าในยุคปัจจุบัน
"สรุปก็คือชาวบ้านรู้จักใช้ทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาแบบยั่งยืนมายาวนาน ดังเช่นความเชื่อที่ว่ารังปลวกที่แก่แล้วจะไม่มีดอกเห็ดโคนขึ้นมาอีก วิธีสังเกตให้ดูว่ามีน้ำซึมออกมาจากรังปลวกหรือไม่ ถ้ามีน้ำก็แสดงว่ารังปลวกดังกล่าวยังไม่แก่และสามารถพบเห็ดโคนขึ้นได้อีก น้ำในที่นี้ก็หมายถึงน้ำลายปลวกที่หลั่งออกมานั่นเอง" อ.จินันท์ เล่าถึงวิธีการดูจอมปลวกและว่า
ปลวกเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญต่อการเกิดของเห็ดโคนมาก เพราะหากไม่มีปลวกอาศัยอยู่ในจอมปลวกแล้ว เห็ดโคนก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ ส่วนการหาเห็ดโคนนั้นภูมิปัญญาท้องถิ่นก็ยังมีเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ด้วยว่า หากจะหาเห็ดโคนให้เจอง่ายๆ แล้วต้องหาตอนกลางคืนเท่านั้น เพราะใต้ต้นเห็ดโคนจะมีสารเรืองแสงอ่อนๆ คือธาตุฟอสฟอรัสอยู่ การหาเห็ดโคนตอนกลางคืนจึงหาเจอได้ง่ายกว่าหาตอนกลางวันมาก
"อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ภูมิปัญญาวิธีการเก็บเห็ดโคน ต้องใช้มือถอน ไม่ให้ใช้มีด จอบ หรือไม้ปลายแหลมที่อาจไปทำลายสวนเห็ดรา (fungus garden) ของปลวกซึ่งเป็นจุดกำเนิดที่ทำให้เห็ดโคนเกิดขึ้นมาได้ และเพื่อป้องกันไม่ให้รบกวนช่องรูพรุนๆ ภายในสวนเห็ดราหรือโนดูล (nodule) ที่อยู่ในรังปลวก และเวลาเด็ดเห็ดโคนไปก็ให้เด็ดให้เหลือก้านติดอยู่ที่เดิม ไม่ให้ถอนส่วนที่เป็นสวนเห็ดราออกมาด้วย" นักสัตววิทยาสาวกล่าว
นอกจากนั้นแล้ว จากการวิจัยของ อ.จิรนันท์ ยังพบอีกว่า จากภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีอยู่นี่เอง จึงเป็นสิ่งที่คนสมัยก่อนใช้รักษาเห็ดโคนให้มีอยู่ในชุมชนห้วยเขย่งต่อไป ซึ่งเฉพาะมูลค่าของเห็ดโคนในห้วยเขย่งนี้เองก็มีมูลค่าสุทธิรวมไม่ต่ำกว่า 685,000 บาท/ปีแล้ว อีกทั้งหากรวมมูลค่าของของป่าที่ชาวบ้านได้พึ่งพิงเป็นประจำตัวอื่นๆ ด้วยก็จะมีมูลค่าของป่าที่งอกเงยออกมาหลายล้านบาท/ปีเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม อ.จิรนันท์ ก็ได้แสดงความเป็นห่วงในอนาคตของเห็ดโคนในชุมชนห้วยเขย่งด้วย คือ ความตื่นตัวและความสนใจจริงในการอนุรักษ์รักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในชุมชนห้วยเขย่งที่นับวันจะเหลือน้อยลงไป ซึ่งต้องเร่งให้ความรู้และสร้างจิตสำนึกให้กลับมาอีกครั้ง เพื่อให้เห็ดโคนยังคงอยู่ต่อไปได้อย่างยั่งยืนตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง เพราะแม้ว่าคนสมัยใหม่ในห้วยเขย่งจะมีความรู้เรื่องการจัดการมากขึ้นก็ตาม แต่ก็อาจละเลยเรื่องการอนุรักษ์ไปได้เพราะเห็นเรื่องของผลกำไรจากการขายของป่าเป็นเรื่องที่เย้ายวนกว่านั่นเอง