จะมีห้องวิจัยไหนที่เปิดโอกาสให้เราเข้าไปนอนเกลือกกลิ้งหรือปล่อยให้เราเดินสำรวจได้ตามอำเภอใจ ด้วยงานวิจัยส่วนใหญ่ต้องสร้างระบบที่ควบคุมการทดลองอย่างเข้มงวด หากแต่ “ป่าสะแกราช” คือสถานีวิจัยที่ต้อนรับทุกคนเข้าไปเยี่ยมชมในฐานะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่ได้รับรางวัลจาก ททท.เมื่อปี 49
จากบทบาทของศูนย์วิจัยด้านสิ่งแวดล้อมที่รองรับนักศึกษาทั้งในและต่างประเทศตั้งแต่ระดับปริญญาตรีถึงเอกยาวนานนับ 40 ปี และเป็นแหล่งสงวนชีวมณฑล (Biosphere Reserve) ของโลก วันนี้ “สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช” ภายใต้สังกัดสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ได้เพิ่มภารกิจการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศซึ่งเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น ทั้งนี้สถานีวิจัยตั้งอยู่บนพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา มีเนื้อที่ประมาณ 48,800 ไร่ สภาพป่าเป็นป่าเต็งรังที่เหมาะกับพื้นที่แห้งแล้ง และปี 2549 ที่ผ่านมาทางสถานีวิจัยเพิ่งได้รับรางวัล “กินรี” หรือรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยประจำปี 2549 จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
ล่าสุดเมื่อวันที่ 20-21 ก.พ. ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้นำคณะ รวมทั้งทีมงาน “ผู้จัดการวิทยาศาสตร์” เข้าเยี่ยมชมสถานีวิจัย และได้ร่วมกิจกรรมเชิงอนุรักษ์ อาทิ ดูดาวและแมลงในยามค่ำคืน โดยทางเจ้าหน้าที่ได้นำหลอดไฟ “แสงนวลจันทร์” มาล่อเหล่าแมลงให้มาเกาะตามผืนผ้าสีขาว จากนั้นก็ปิดไฟเพื่อนอนดูดาวและเรียนรู้กลุ่มดาวบนท้องฟ้า อาทิ กลุ่มดาวเต่า กลุ่มดาวไถซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มดาวนายพรานตามจินตนาการของชาวตะวันตก เป็นต้น
จนกระทั่งรุ่งเช้าก็เป็นกิจกรรมชมไก่ฟ้าพญาลอ ซึ่งหากใครมาถึงสถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราชแล้วไม่ได้ชมเป็นนกประจำชาติไทยชนิดนี้นับว่า “เชย” เพราะไก่ฟ้าพญาลอนั้นถือเป็น “พระเอก” ของสถานีวิจัย อีกทั้งยังคุ้นเคยและไม่กลัวคน เราสามารถเข้าไปถ่ายรูปได้อย่างค่อนข้างใกล้ชิด จากนั้นก็เป็นกิจกรรมดูนกซึ่งมีนกหลากหลายชนิดให้ชม แต่ที่เห็นมากที่สุดคือ “นกแขกเต้า” ที่หน้าตาคล้ายนกแก้ว โดยตัวผู้จะมีปากสีแดงส่วนตัวเมียมีปากสีดำ และกิจกรรมสุดท้ายคือการเดินป่าในระยะสั้นๆ ประมาณ 1 กิโลเมตร
สำหรับการเดินป่านั้นได้ผู้นำทางชื่อ ลุงแหวง ขอมเมืองปัก ปราชญ์ชาวบ้านวัย 80 ที่ร่างกายยังแข็งแรงไม่ต่างจากคนวัย 40 โดยลุงแหวงเคยเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจป่าของสถานีวิจัยจนกระทั่งพ้นวัยเกษียณจึงได้หันมาทำหน้าที่เป็นผู้นำทางในการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ โดยตลอดทางไกด์วัยคุณปู่จะชี้ชวนให้ผู้ท่องป่าได้รู้จักกับพันธุ์ไม้สำคัญๆ ในป่าเต็งรัง ทั้งยังหอบหิ้วผลิตผลจากป่าให้ทุกคนได้ชิม อาทิ ผลจะบกหรือที่เรียกกันเล่นๆ ว่า “อัลมอนด์อีสาน” เนื่องจากมีรสชาติหวานมันกลมกล่อม สมอแช่อิ่ม และมะขามป้อมทั้งสดและแช่อิ่ม เป็นต้น
นอกจากนี้ หลายคนอาจมองว่าไฟป่าคือหายนะของป่าไม้ แต่สำหรับป่าเต็งรังแล้ว ไฟจะช่วยให้ป่าเต็งรังคงสภาพอยู่ได้และไม้หลายชนิดก็อาศัยไฟช่วยในการแพร่พันธุ์ เช่น ต้นมะค่าแต้ที่มีเมล็ดหนาและต้นอ่อนจะแทงยอดออกมาไม่ได้หากไม่ได้ไฟช่วยเผาให้เปลือกเมล็ดบางลง เป็นต้น และหากป่าเต็งรังไร้ซึ่งไฟลามเลียแล้วความชื้นในป่าเพิ่มขึ้น ทำให้ไม้ทนแล้งอย่างต้นเต็งและต้นรังอยู่ไม่ได้ จึงล้มตายในที่สุด จากนั้นป่าธรรมชาติที่ทนแล้งก็จะแปรสภาพกลายเป็นป่าผสมที่มีต้นไม้เขียวชอุ่มขึ้นมาแทนที่
นายสมัย เสวครบุรี นักวิชาการประจำสถานีวิจัยยังช่วยเล่าถึงประโยชน์ของไฟป่าที่มีต่อเต็งรังเพิ่มเติมอีกว่า ไฟจะช่วยจำกัดแมลง เชื้อรา เพลี้ยที่มารบกวนต้นไม้ และช่วยกำจัดวัชพืชที่แย่งสารอาหารของต้นไม้ใหญ่ รวมทั้งช่วยขยายพันธุ์พืชบางชนิด โดยที่ไฟเหล่านี้จะดับได้ง่ายเนื่องจากเป็นไฟผิวดินเมื่อเชื้อเพลิงหมดก็จะดับ แต่หากเป็นไฟใต้ดินอย่างป่าพรุที่มีเศษใบไม้และซากต่างๆ ทับถมอยู่หนาจะดับได้ยาก และสาเหตุที่ไม้ในป่าเต็งรังทนไฟอยู่ได้ก็เพราะมีเปลือกหนา
...แม้ว่าการเดินป่าเต็งรังจะไม่สดชื่นเหมือนการเดินป่าอื่นๆ แต่สิ่งที่ทุกคนจะได้ประจักษ์คือการเอาตัวรอดของสิ่งมีชีวิตท่ามกลางความทารุณของธรรมชาติ และแม้จะเต็มไปด้วยความแห้งแล้งแต่ป่าก็ยังเป็นผู้ให้กับทุกชีวิตเสมอ...
คลิกที่ไอคอน Manager Multimedia
เพื่อรับชมภาพกิจกรรมเดินป่าสะแกราช

*** หมายเหตุ ***
ใครที่สนใจเดินป่าและเยี่ยมชมสถานีวิจัยสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ล่วงหน้า โดยทางสถานีจะเตรียมเจ้าหน้าที่ผู้มีประสบการณ์และปราชญ์ชาวบ้านนำทางศึกษาเส้นทางในป่า และมีอาคารบ้านพักไว้รับรองผู้มาเยี่ยมชมกว่า 10 หลัง ซึ่งแต่ละหลังมีชื่อเฉพาะที่คล้องจองกัน อาทิ นิทราเป็นสุข สนุกชีวา เทวาอารักษ์ สวรรค์ลิขิต เป็นต้น พร้อมทั้งอาคารสัมมนาที่รองรับได้ 120-150 คน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายจัดการสถานี วว. (กรุงเทพฯ) โทร.0-2579-1121-30, 0-2259-0160 ต่อ 4305, 4306 หรือ สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช (จ.นครราชสีมา) โทร.0-4425-8642, 0-4424-2533,0-4424-4474 โทรสาร 0-4424-2534 และ E-mail: sakaerat@tistr.or.th
ส่วนการเดินทางสู่สถานีวิจัยนั้นให้ใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 304 สายนครราชสีมา-วังน้ำเขียว-ชลบุรี เป็นเส้นทางหลัก ซึ่งเส้นทางดังกล่าวจะผ่าน อ.วังน้ำเขียวและใช้เป็นเส้นทางในการติดต่ออำเภอใกล้เคียง มีเส้นทางแนะนำ 2 ทางคือ หากเดินทางจากกรุงเทพให้เริ่มต้นจาก จ.ฉะเชิงเทรา ด้วยเส้นทางมอเตอร์เวย์หรือใช้ ถ.สุวินทวงษ์ แล้วใช้เส้นทาง 304 มุ่งสู่แยกกบินทร์บุรีรวมระยะทาง 180 กิโลเมตร และจากแยกกบินทร์บุรีสู่ อ.วังน้ำเขียวเป็นระยะทาง 60 กิโลเมตร แต่หากเริ่มต้นที่ตัวเมือง จ.นครราชสีมา ให้ใช้เส้นทาง 304 ผ่าน อ.ปักธงชัยไปถึง อ.วังน้ำเขียว รวมระยะทาง 79 กิโลเมตร (คลิกดูแผนที่สู่สถานีวิจัยฯ)