“มะเร็ง” โรคร้ายอันดับต้นๆ ที่คร่าชีวิตมนุษย์ และยากที่จะรักษาให้หายขาดได้ ทางหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการรับมือกับโรคมะเร็งมากที่สุดจึงเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดโรคตั้งแต่แรก ก่อนที่จะเป็นแล้วค่อยมาบำบัดรักษาภายหลัง
ดังนั้น ผลงานที่สั่งสมเรื่อยมาในแฟ้มประวัติการทำงานของ ศ.นพ.ดร.อภิวัฒน์ มุทิรางกูร คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เจ้าของรางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2549 สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ ของสภาวิจัยแห่งชาติ คนล่าสุด จึงเป็นกลไกหนึ่งในการตรวจวินิจฉัยเพื่อป้องกันและบำบัดรักษา ตลอดจนพิชิตโรคร้ายที่ว่าได้เป็นอย่างดี
นพ.เจ้าของรางวัลสภาวิจัย เล่าว่า ผลงานโดดเด่นของเขาคือ “การค้นพบ” สิ่งที่ไม่เคยมีใครค้นพบมาก่อน ซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งใน 3 กลุ่มการศึกษาด้วยกัน คือ 1.การศึกษาและค้นพบเอนไซม์ทีโลเมอร์เรส ซึ่งจะมีเฉพาะในเซลล์มะเร็งและมีคุณสมบัติช่วยให้เซลล์มะเร็งไม่แก่ไม่ตายเหมือนเซลล์ชนิดอื่นๆ ในร่างกาย โดยพบว่าเนื้อเยื่อที่ใกล้เป็นมะเร็งจะตรวจพบเอนไซม์ชนิดนี้ทั้ง 100% ส่วนเนื้อเยื่อที่ตรวจไม่พบจะมีโอกาสเกิดมะเร็งเพียง 50%
“เอนไซม์ทีโลเมอร์เลสจึงเปรียบได้กับสัญญาณเตือนภัยโรคมะเร็งที่แม่นยำ การค้นพบครั้งนี้จึงมีประโยชน์ต่อการตรวจวินิจฉัยความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี เช่น มะเร็งปากมดลูก ไข่ปลาอุก เซลล์โพรงหลังจมูก ไคเคนพลานัสในช่องปาก และน้ำในช่องท้อง”
ส่วนการค้นพบที่ 2 ของเขา เมธีวิจัยอาวุโสสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ปี 2548 เผยว่า คือ การศึกษาอนูพันธุศาสตร์ของโรคมะเร็งโพรงหลังจมูก ซึ่งคนไทยและคนจีนจะเป็นกันมาก กลับกันกับคนในแถบยุโรปและชาติตะวันตกอื่นๆ ที่จะเป็นกันน้อย ซึ่งเขาได้ค้นพบ 1 ในหลายๆ ยีนที่มีความเปลี่ยนแปลงไปเมื่อเป็นเซลล์มะเร็ง โดยเป็นยีนที่น่าจะเป็นตัวรับไวรัสเอฟสไตน์บาร์ (อีบีวี) ซึ่งสัมพันธ์ต่อการเกิดโรคมะเร็งเข้าสู่เซลล์เยื่อบุผิวโพรงหลังจมูก โดยเขาได้ทำการศึกษาดีเอ็นเอของไวรัสอีบีวีนี้ไว้แล้ว
ในการค้นพบครั้งนั้น ศ.นพ.ดร.อภิวัฒน์ ได้ค้นพบว่า ในคนไข้ที่ป่วยเป็นมะเร็ง น้ำเหลืองหรือส่วนที่เรียกว่า “พลาสมา” ในน้ำเลือดของผู้ป่วยจะมีไวรัสอีบีวีอยู่ ตราบเท่าที่ยังมีเซลล์มะเร็งอยู่ในร่างกาย จึงใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจหาโรคมะเร็งที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายผู้ป่วยหลังการฉายแสงเลเซอร์ฆ่าเซลล์มะเร็งเฉพาะจุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เพื่อการตรวจหาและกำจัดเซลล์มะเร็งที่อาจแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ทั่วร่างกายได้โดยสิ้นเชิง ส่วนการศึกษาในระยะต่อไปจะเป็นการค้นหายีนต้านมะเร็งของมะเร็งช่องปาก ศีรษะ คอ และปากมดลูก
และ 3.เขาได้ศึกษาสภาวะเหนือพันธุกรรมของผู้ป่วยเพื่ออธิบายกลไกการเกิดโรคมะเร็ง โดยศึกษาหมู่เมททิลที่เกาะอยู่บนดีเอ็นเอของเซลล์มะเร็ง ซึ่งมีผลต่อการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปของพันธุกรรมแต่สารพันธุกรรมไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งเมื่อนำหมู่เมททิลออกไปแล้ว ดีเอ็นเอก็จะทำหน้าที่ได้ตามปกติ
การค้นพบนี้จึงนำไปสู่การอธิบายกลไกการเกิดมะเร็งได้ถึง 3 ประเด็น คือ ก.หมู่เมททิลที่ลดลงทำให้การแสดงออกของยีนเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ข.การค้นพบนี้ทำให้อธิบายกลไกที่ทำให้มะเร็งกลายพันธุ์ได้เร็วกว่าปกติได้ โดยพบว่าการมีหมู่เมททิลน้อยจะทำให้ดีเอ็นเอที่ฉีกขาดจากอาการของโรคมะเร็งสามารถซ่อมแซมส่วนที่เสียหายได้เร็วทว่าก็เกิดความผิดพลาดได้ง่าย และ ค.การศึกษาครั้งนี้มีความเป็นไปได้ที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งได้ในอนาคต
ทั้งนี้ทั้งนั้น ศ.นพ.ดร.อภิวัฒน์ นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ปี 2539 ซึ่งมีผลงานตีพิมพ์ในระดับนานาชาติมากมาย อีกทั้งมีรางวัลการันตีคุณภาพผลงานทั้งในและนอกประเทศ 6 รางวัล เผยด้วยว่า แม้การค้นพบของเขาทั้ง 3 ชิ้นนี้จะนำมาใช้ตรวจวินิจฉัยการเกิดโรคมะเร็งได้ แต่ก็ต้องอาศัยผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ ที่จะนำองค์ความรู้ที่ได้ไปต่อยอดให้เกิดการใช้ประโยชน์ด้วย ซึ่งเวลานี้ยังมีเพียงการค้นพบที่ 2 เท่านั้นที่สามารถนำมาตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งในทางปฏิบัติได้แล้ว ขณะที่อีก 2 การค้นพบที่เหลือยังประสบความสำเร็จในห้องปฏิบัติการเท่านั้น
จากการค้นพบที่มีประโยชน์ต่อการตรวจวินิจฉัยเพื่อป้องกัน บำบัดรักษา และเพิ่มโอกาสในการรักษาโรคมะเร็งให้หายขาดนี้ จึงเป็นการค้นพบดีๆ โดยนักวิจัยไทย ที่หวังว่าจะมีการนำไปขยายผลใช้ประโยชน์ได้ในเร็ววัน เพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วยโรคมะเร็งจำนวนมากให้หายขาด ไม่ให้ต้องทนทุกข์ทรมาน และต้องจบชีวิตในท้ายที่สุด