เป็นที่รู้จักมานับ 10 ปีในนาม “ศูนย์นิวเคลียร์องครักษ์” ตั้งแต่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ด้วยคดีอื้อฉาวในการว่าจ้างสร้างเครื่องปฏิกรณ์ที่ยังเป็นคดีความกันอยู่ รวมทั้งการต่อต้านของคนในพื้นที่ซึ่งไม่มั่นใจในความปลอดภัยที่จะมีศูนย์นิวเคลียร์มาตั้งอยู่ข้างบ้าน วันนี้กลายมาเป็น “สถาบันนิวเคลียร์” ที่มีตัวตนมาอย่างเงียบๆ แต่ยังคงอาศัยเงาของ ปส. เป็นที่ทำการ แม้จะแยกองค์กรออกมาชัดเจนแล้ว
โอกาสนี้ “ผู้จัดการวิทยาศาสตร์” จะพาไปรู้จักกับ “สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ” (สทน.) องค์การมหาชนแห่งใหม่ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่เพิ่งแยกตัวเองออกมาจากสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) ผ่านการพูดคุยกับ ดร.สมพร จองคำ ผู้อำนวยการ สทน.คนแรก ที่ก่อนหน้านี้นั่เก้าอี้อดีตรองเลขาธิการ ปส.
ผู้จัดการวิทยาศาสตร์- หากจะให้นิยามสถาบันนิวเคลียร์ให้ประชาชนได้รู้จัก จะนิยามว่าอะไร?
ดร.สมพร- สทน.เป็น Center of Excellent (ศูนย์ความเป็นเลิศ) เป็นเลิศในทางวิจัยและพัฒนาการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีนิวเคลียร์สำหรับประชาชน
ผู้จัดการวิทยาศาสตร์-ลักษณะการทำงานของ สทน.เป็นอย่างไร?
ดร.สมพร-ลักษณะการทำงาน เป็นแบบ Solution base เป็นการแก้ปัญหาให้กับประชาชนอย่างแท้จริง เอาปัญหาของประชาชนเป็นตัวหลัก แล้วใช้ความเชี่ยวชาญของเราที่เน้นทางด้านพลังงานนิวเคลียร์ ด้านรังสีไปช่วย อันไหนที่สามารถไปช่วยได้ เราก็รีบไปช่วยเขาเลย
ผู้จัดการวิทยาศาสตร์-อยากให้ยกตัวอย่างงานที่เอ่ยถึงแล้วทำให้ประชาชนนึกถึง สทน.
ดร.สมพร-ตอนนี้ที่ดังๆ เช่น แหนมฉายรังสี ฆ่าพยาธิ ฆ่าตัวจี๊ด ฆ่าโรคท้องร่วง และเดี๋ยวนี้ไม่ใช่แหนมเท่านั้นนะ ยังไล่ไปถึงข้าวสาร อาหารแห้ง ไล่แมลงหวี่ แมลงอะไรทั้งหลาย เป็นงานทางด้านเกษตร การปรับปรุงพันธุ์พืช การฉายรังสีอัญมณี การฉายรังสีผลไม้ส่งออก
ผู้จัดการวิทยาศาสตร์-ช่วยยกตัวอย่างในส่วนของข้าวฉายรังสีว่าอะไรบ้าง?
ดร.สมพร-ข้าว กข6 กข15 และ กข105 เป็นข้าวหลายๆ แบบ
ผู้จัดการวิทยาศาสตร์-ข้าวฉายที่ผ่านการฉายรังสีจะเป็นอันตรายกับสุขภาพหรือไม่?
ดร.สมพร-ไม่เป็น ก็เอาฉายรังสีเพื่อปรับปรุงเป็นพันธุ์ใหม่ ให้ทนต่อน้ำแล้ง ทนต่อโรคบางชนิด เอาข้าวไปอาบรังสี แล้วก็เลือกพันธุ์ ปลูกแล้วก็ดู ปลูกแล้วก็ดู ข้าวแต่ละรุ่นใช้เวลา 4-5 เดือน ภายในรุ่นที่ 3 ถึงจะได้ เป็นเวลาปีครึ่งถึงจะออกมาเป็นข้าวพันธุ์ใหม่ กข6 กข15 กข105 ดังไปทั่วโลก
ผู้จัดการวิทยาศาสตร์-เมื่อข้าวผ่านการฉายรังสีแล้วจะมีรังสีตกค้างในข้าวหรือไม่?
ดร.สมพร-ไม่มีรังสีตกค้าง นี่แหละคนค่อนกลัว ทำยังไงก็ให้คนหายกลัวรังสีไม่ได้ พูดยากเหมือนกัน เพราะว่ารังสีมันเป็น “ผี” มองไม่เห็น คนก็เลยกลัวไว้ก่อน แต่หารู้ไม่ว่าอาหารส่วนใหญ่ผ่านการฉายรังสีมาทั้งนั้น
ผู้จัดการวิทยาศาสตร์-นอกจากงานเหล่านี้แล้ว สทน.ยังมีงานอื่นอีกหรือไม่?
ดร.สมพร-งานวิจัยและพัฒนาทุกด้าน เช่น ด้านการแพทย์ พัฒนาตัวยาใหม่ๆ เพื่อรักษาโรค ซึ่งก็เหมือนกับงานวิจัยทั่วๆ ไป และต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ คือต้องตามว่าต่างประเทศมีอะไรที่ดี แต่ไม่ใช่ว่าเขาถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เราเลย อย่างการวิจัยเพื่อพัฒนายารักษามะเร็งสมอง จะใช้ยาตัวไหน ไอโซโทปตัวไหน ยาแบบน้ำหรือผง เรียกว่าเป็นเภสัชรังสี ซึ่งเป็นหน้าที่ของนักวิจัย ที่เราเอาไปขายตามโรงพยาบาลก็มี 10 กว่าตัว แต่ถ้าเราส่งให้เขาไม่พอ เขาก็ต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศ
ด้านอุตสาหกรรมเราก็ให้ใบรับรองการวัดรังสีในอาหารส่งออกในประมาณ 15 ประเทศ เพื่อความมั่นใจว่ามีปริมาณรังสีไม่เกิน และพิสูจน์ว่าอาหารนั้นมาจากไทยจริงหรือไม่ และอยู่ใกล้แหล่งโรงงานนิวเคลียร์หรือไม่ เราช่วยเขาตรวจวัดปีละ 4,000-5,000 ครั้ง โดยการสุ่มตรวจจากตู้คอนเทนเนอร์ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่จะพัฒนาพลาสติกย่อยสลายง่าย โดยการฉายรังสีพลาสติกที่มาจากปิโตรเคมีเพื่อทำลายพันธะทางเคมีให้สามารถย่อยสลายได้ง่าย รวมถึงการตรวจความบกพร่องในการผลิต เช่น พวกถังความดัน หรือหอกลั่นน้ำมัน ซึ่งใช้รังสีตรวจสอบได้
ผู้จัดการวิทยาศาสตร์- ถือว่าตอนนี้ สทน.เป็นองค์กรอย่างเต็มตัวแล้ว?
ดร.สมพร-โครงสร้างองค์กรแยกกันชัดเจน แต่ตอนนี้พนักงานยังไม่มาสักคนเพราะต้องมีการลาออกจาก ปส. แล้วโอนย้ายมาทำสัญญากับ สทน. เป็นราย 4 ปี บางคนก็ 1 ปี 3 ปี หรือ 5 ปี ก็แล้วแต่ แต่วันนี้ผมยังไม่ได้เซ็นสัญญาเป็น ผอ. ถ้าเป็น ผอ.เมื่อไร ผมก็เซ็นรับพนักงานได้ 200 คน โดยคัดเลือกจากเจ้าที่ ปส. 400 คน ตอนนี้ได้มา 160 คนแล้ว
ผู้จัดการวิทยาศาสตร์- ต้องโอนพนักงานจาก ปส.ซึ่งเป็นข้าราชการที่ถือว่ามีความมั่นคงในอาชีพพอสมควร มีอะไรเป็นแรงจูงใจให้ข้าราชการเหล่านั้นย้ายไปอยู่ สทน.?
ดร.สมพร – ความเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย หน่วยงานนี้เป็นหน่วยงานวิจัย ก็หลุดออกมาจาก ปส.ที่มีหน้าที่กำกับดูแล ให้ใบอนุญาต งานต่างกันโดยสิ้นเชิง เราเป็นนักเคมีจะให้ไปตรวจตราอะไรก็ไม่เป็น ชัดเจนเลย เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ สำคัญเรื่องความสามารถที่เขามีอยู่ แล้วเขาสามารถทำประโยชน์ให้เขาได้ตรงกับความสามารถของเขามากกว่า
คนที่รับราชการนานๆ ออกไปก็ต้องเสียโอกาสบ้าง สิ่งที่ชดเชย อาจจะเพิ่มเงินให้บางส่วน เงินเดือนมากกว่ารับราชการที่ ปส.หรือไม่นั้น มีหลายระดับ แล้วแต่คน ใครอยู่นาน-ไม่นาน อาจจะไม่เท่ากัน แต่ต้องให้พอดี ไม่ใช้ให้มากเกินไปแล้ว มันก็เสี่ยงเหมือนกัน และเราแยกออกมาก็เป็นส่วนวิจัยและใช้ประโยชน์ และเป็นศูนย์ด้านความเป็นเลิศทางด้านนิวเคลียร์ ประกอบไปด้วยคนเก่งๆ มีนักฟิสิกส์นิวเคลียร์ เคมีนิวเคลียร์ เภสัชรังสี วิศวกรนิวเคลียร์
ผู้จัดการวิทยาศาสตร์- ในส่วนคณะกรรมการบริหารของ สทน.มาจากที่ไหนบ้าง?
ดร.สมพร-ในส่วนของบอร์ดเป็นคนนอกสถาบันที่มีความเชี่ยวชาญทางนิวเคลียร์ อาทิ รศ.ดร.ธัชชัย สุมิตร อดีตหัวหน้าภาควิชาเทคโนโลยีนิวเคลียร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผศ.ปรีชา การสุทธิ์ อดีตเจ้าหน้าที่ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ(ไอเออีเอ) เป็นต้น
ผู้จัดการวิทยาศาสตร์- ในเมื่อยังไม่มีเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัยแล้วสถาบันจะทำงานอย่างไร?
ดร.สมพร-หากรอเครื่องปฏิกรณ์ที่จะก่อสร้างที่ อ.องครักษ์ คงไม่ไหว เครื่องไซโคลตรอน (Cyclotron) น่าจะเอามารองรับได้ 2-3 ปี เพราะไม่ใช่เครื่องใหญ่โตอะไรนัก คล้ายๆ กับเครื่องฉายรังสีเอกซ์เรย์ ซึ่งได้รับการอนุมัติให้สั่งซื้อเข้ามาได้แล้ว เครื่องที่จะสั่งเข้ามานั้นมีกำลัง 30 เมกกะอิเล็กตรอนโวลต์ (MeV) โดยจะนำมาผลิตไอโอดีน-123 ซึ่งเป็นไอโซโทปที่ใช้ในการแพทย์
ผู้จัดการวิทยาศาสตร์-ในระยะแรกของสถาบันที่เพิ่งก่อตั้งวางแผนจะทำอะไรบ้าง?
ดร.สมพร- เนื่องจากเป็นองค์กรใหม่ ช่วงปีที่ 1-3 ก็ให้ความสำคัญทางด้านคุณภาพของงานที่เราทำ และให้ประชาชนที่ได้รับประโยชน์ยอมรับ คล้ายๆ กับสร้างแบรนด์ สร้างชื่อเสียงของเรา และให้รู้ว่างานของเรามีประโยชน์ที่แท้จริง พร้อมทั้งสร้างปฎิสัมพันธ์กับผู้เข้ามาติดต่อกับสถาบัน ซึ่งถือว่าเป็น “ลูกค้า”
ผู้จัดการวิทยาศาสตร์- ทราบมานานแล้วมีการก่อตั้งสำนักงานที่จะเป็นศูนย์วิจัยทางด้านนิวเคลียร์ และตอนนี้ ก็มีสถาบันอย่างเป็นทางการแล้ว จะย้ายสำนักงานจาก ปส.ไป อ.องครักษ์ จ.นครนายกเมื่อไร?
ดร.สมพร-บางส่วนก็ย้ายไปองครักษ์แล้ว เช่น บางส่วนที่ดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อม วัดอากาศ วัดน้ำดื่ม วัดอาหาร เช่น วัดผลไม้ กุ้ง หอย ปู ปลา แม้กระทั่งดินที่เพาะปลูกก็ต้องวัดว่ามีสารพิษไหม มีรังสีไหม และส่วนที่ช่วยดูแลเรื่องการกำจัดแมลงวันผลไม้โดยใช้รังสี เรียกว่าเป็นวิธี “ทำหมันแมลง” หลายอำเภอในองครักษ์ที่ขายมะยงชิด ก็ได้ประโยชน์ตรงนี้ และอีกด้านคือ ด้านปรับปรุงพันธุ์พืช ที่นั่นก็มีการปรับปรุงพันธุ์ไม้ดอก
ผู้จัดการวิทยาศาสตร์- หากย้ายสำนักงานไปอยู่ตั้งที่ อ.องครักษ์ ประชาชนในพื้นที่หวาดกลัวหรือไม่?
ดร.สมพร-ที่ถามว่าถ้านิวเคลียร์ไปอยู่ที่นั่นประชาชนไม่กลัวเหรอ ก็คิดว่าประชาชนไม่กลัวหรอก ถ้าเราไม่กลัว ถ้าเกิดอะไรขึ้น พวกผมตายก่อน
ผู้จัดการวิทยาศาสตร์-กรณีปัญหา “นิวเคลียร์องครักษ์” มีผลต่อการทำงานของสถาบันหรือไม่?
ดร.สมพร-ไม่มีผล เพราะว่าเราเป็นองค์กรใหม่ก็ต้องมุ่งหน้าไป ส่วนเรื่องนั้นเป็นคดีฟ้องร้องกันก็ต้องว่ากันระหว่างคู่คดี ปส.กับบริษัท จีเอ ซึ่งก็ต้องดำเนินการต่อไป
ผู้จัดการวิทยาศาสตร์-อย่างไรก็ดีคนก็ยังติดภาพปัญหาของ “นิวเคลียร์องครักษ์” กันอยู่?
ดร.สมพร-ก็ไม่อยากให้ติด ภาพลักษณ์อาจจะไม่ค่อยดี คนไทยชอบอ่านข่าวที่เขาชอบตี บางทีก็เป็นผลลบต่อกิจการทางด้านนิวเคลียร์เหมือนกัน ก็อยากจะให้มองเป็นกลางๆ ว่า ถ้าเรายืนอยู่ตรงกลาง ชั่งน้ำหนัก อันไหนใช้ประโยชน์ก็ให้ใช้ประโยชน์ไป คนที่ใช้ประโยชน์ก็คือประชาชนอยู่แล้ว
ผู้จัดการวิทยาศาสตร์-ถึงอย่างนั้นก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนลืมภาพปัญหาเกี่ยวกับ “การโกง” และ “คอรัปชัน”
ดร.สมพร-ก็มองอีกภาพหนึ่งสิ คนคอรัปชันก็อาจจะเป็นอีกคน แต่คนไม่คอรัปชันก็ต้องดูคนที่ไม่คอรัปชัน คนดีที่เขาจะมาช่วยประโยชน์ให้สังคมก็ยังมี ก็ให้เขาช่วยแยกแยะ ไม่ใช่บอกว่าเรื่อง “นิวเคลียร์” แล้ว ทุกคนคอรัปชันหมด ไม่ดีหมด พอบอกว่านิวเคลียร์ก็อันตรายหมด ถ้าอย่างนั้นประเทศไทยก็ไม่ไปไหน ฉะนั้นจะให้เราเรียนวิทยาศาสตร์ไปทำไม เรียนนิวเคลียร์ทำไม ก็เพราะมีประโยชน์นะ ทำประโยชน์ได้
ผู้จัดการวิทยาศาสตร์-ทางสถาบันมีแนวทางที่จะรับมือกับคนที่มองสถาบันไม่ดีอย่างไร?
ดร.สมพร-ก็ต้องให้สื่อช่วย ต้องจ้างสื่อ ไม่ใช่ว่าจ่ายเงินใต้โต๊ะ แต่ให้คนที่จบทางด้านสื่อสารมวลชนเข้ามาทำสื่อที่จะเข้าประชาชน เป็นหน้าที่ของฝ่ายประชาสัมพันธ์ขององค์กร หรือบางครั้งก็ต้องจ้างมืออาชีพมาช่วยทำให้ประชาชนเข้าใจ เบื้องต้นคงต้องให้เขารู้ว่าสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์ของเราคืออะไร ทำอะไร เพื่อใคร เราจะใช้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ว่าจะยากดีมีจน หรือผู้ดีก็ว่ากันไป
...แม้ “สถาบันนิวเคลียร์” จะมีตัวตนขึ้นมาอย่างเงียบๆ แต่ก็คงต้องติดตามดูบทบาทผู้บริหารของ “ดร.สมพร” ซึ่งมีวาระ 4 ปีที่จะดูแลสถาบันแห่งนี้ รวมทั้งตามติดว่าเขาจะทำให้ “ผีร้ายนิวเคลียร์” กลายเป็น “พ่อพระ” ของประชาชนทั่วไป สมกับเป้าหมายของสถาบันที่ตั้งเป้าว่าก่อตั้งมาเพื่อบริการประชาชนหรือไม่...