xs
xsm
sm
md
lg

“อุทยานวิทยาศาสตร์อีสาน” สนามวิจัยเอกชนพลังข้าวเหนียว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


กรุยทางปูพื้นที่วิจัยให้เอกชนถิ่นอีสาน กระจาย “อุทยานวิทยาศาสตร์” สู่ภูมิภาค สร้างความแข็งแรงให้เอสเอ็มอีรากแก้ว อาจารย์ มข.ชี้ถิ่นข้าวเหนียวเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของความร่วมมืออิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง ด้านบริษัทพรมทอมือเผยใช้วิทยาการลดขั้นตอนผลิต ธุรกิจเติบโต 40%

เอ่ยถึงอุทยานวิทยาศาสตร์ (Science Park) ฟังเผินๆ หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่นิยามที่ใช้อธิบายได้ชัดเจนที่สุดก็คือ “พื้นที่สำหรับเอกชนทำวิจัย” ซึ่งความสำเร็จของ บิล ฮิวเลตต์ (Bill Hewlett) และ เดฟ แพคการ์ด (Dave Packard) 2 บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด (Stanford University) ผู้ให้กำเนิดผลิตภัณฑ์ตระกูล “ฮิวเลตต์-แพคการ์ด” (HP) ถือเป็นจุดเริ่มต้นของอุทยานวิทยาศาสตร์ในโลก จากนั้นอีก 20 ปีจึงเกิดขึ้นในยุโรป ปัจจุบันทั่วโลกมีอุทยานวิทยาศาสตร์กว่า 400 แห่ง

ส่วนเมืองไทยอุทยานวิทยาศาสตร์แห่งแรกของประเทศตั้งอยู่ที่ จ.ปทุมธานี สร้างขึ้นเมื่อ 4 ปีก่อน และมีสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งประกอบด้วยศูนย์วิจัยต่างๆ เข้าไปอาศัยพื้นที่ทำวิจัย ด้วยผลงานของ สวทช.ทำให้รัฐบาลเห็นว่าเป็นความสำเร็จที่ควรกระจายไปยังทุกภูมิภาค และภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็เป็น 1 ในเป้าหมาย และมีมหาวิทยาลัยในภูมิภาค 4 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่ต้องการจะจัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์

“อุทยานวิทยาศาสตร์” พื้นที่สำหรับ “เอกชนทำวิจัย”

การจะจัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์ได้นั้น ศ.ดร.ชัชนาถ เทพธรานนท์ ประธานสมาคมอุทยานวิทยาศาสตร์นานาชาติ และรองผู้อำนวยการ สวทช.กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือต้องมีสิ่งดึงดูดให้เอกชนทำวิจัย ไม่ว่าอุทยานวิทยาศาสตร์จะตั้งที่ไหนหรือมีรูปแบบการบริหารแบบใดก็ตาม สิ่งที่ต้องเหมือนกันคือ “เอกชนต้องทำวิจัย” โดยอาศัยความสะดวกภายในอุทยานฯ ที่ต้องเตรียมความพร้อมทางด้านต่างๆ ให้เอกชนเข้ามาใช้ เช่น ห้องปฏิบัติการกลาง เครื่องมือในการวิจัย นักวิจัย รวมถึงพื้นที่ให้เช่าสร้างตึกเพื่อทำวิจัย เป็นต้น ซึ่งหากเปรียบกับนิคมอุตสาหกรรม อุทยานวิทยาศาสตร์ก็คือ “นิคมวิจัย” นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งรองรับงานสำหรับบุคลากรทางด้านวิทยาศาสตร์ที่ภาครัฐให้การสนับสนุนจนสำเร็จการศึกษาขั้นสูงอีกด้วย

อย่างไรก็ดีการตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์สักแห่งนั้นต้องใช้เงินระดับพันล้านขึ้นไป ศ.ดร.ชัชนาถ กล่าวว่าไม่ควรลงทุนครั้งเดียวด้วยเงินมหาศาลขนาดนั้นแต่ควรจะค่อยๆ ทำ โดยเริ่มจากการจัดตั้ง “หน่วยบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี” (Business Incubator) ก่อน ซึ่งเปรียบเหมือนการเตรียมความพร้อมสร้างมหาวิทยาลัย โดยเริ่มจากจัดตั้งโรงเรียนอนุบาล สร้างการศึกษาขั้นพื้นฐานให้เด็กๆ ได้มีความรู้เป็นขั้นๆ จนพร้อมเข้าเรียนมหาวิทยาลัย

ทั้งนี้โครงการจัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคได้เข้าสู่คณะรัฐมนตรี(ครม.) แล้ว แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองทำให้โครงการจัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ ซึ่งต้องใช้งบประมาณแห่งละ 3,000 ล้านบาท ถูกส่งกลับเพื่อให้มาพิจารณาว่าจะดำเนินการต่อหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ศ.ดร.ชัชนาถคาดหวังว่า ครม.จะได้อนุมัติให้ใช้งบฯ ก่อนสิ้นปีนี้

“จุดแข็ง” ถิ่นอีสาน-แดนยุทธศาสตร์ “อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่น้ำโขง"

ถิ่นอีสานดินแดนที่หลายคนจินตนาการถึงความแห้งแล้งและความยากจน หากแต่ ผศ.ดร.วิสิฏฐ์ เจริญสุดใจ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ชี้ให้เห็น “จุดแข็ง” ของภาคอีสานที่ควรจะจัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์ อย่างแรกคือ ภาคอีสานเป็นแหล่งที่มีธุรกิจขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอีมากที่สุดในประเทศ ประมาณ 60% ของเอสเอ็มอีทั้งหมด และยังเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของยุทธศาสตร์ความร่วมมือเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง ระหว่างกัมพูชา ลาว พม่า ไทยและเวียดนาม (ACMECS) โดยมีเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจสายตะวันออก-ตะวันตก (EWEC) ซึ่งตัดผ่าน จ.ขอนแก่นเป็นเส้นทางหลักเชื่อมพม่า-เวียดนาม

“อุทยานวิทยาศาสตร์จะเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมในพื้นที่ โดยจะช่วยยกระดับเอสเอ็มอีด้วยการใส่ความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ที่มีศักยภาพในการแข่งขัน” ผศ.ดร.วิสิฏฐ์กล่าว โดยอุตสาหกรรมกลุ่มเป้าหมายคือ อุตสาหกรรมทางด้านเกษตรและอาหารเป็นหลัก อุตสาหกรรมทางซอฟท์แวร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ อุตสาหกรรมโอทอป อุตสาหกรรมสิ่งทอและแฟชั่น และอุตสาหกรรมทางด้านสมุนไพรและวิทยาศาสตร์สุขภาพ

ปูทางอุทยานฯ ดึงนักวิจัยแก้ปัญหาอุตสาหกรรมสิ่งทอถิ่นอีสาน

แม้ว่าตอนนี้อุทยานวิทยาศาสตร์แห่งภาคอีสานจะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง แต่ความร่วมมือระหว่างเอกชนและนักวิจัยในการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ก็ได้เกิดขึ้นภายใต้โครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (ITAP) ของศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) สวทช. ซึ่งบริษัท คาร์เปท เมกเกอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจทางด้านพรมทอมือที่จัดจำหน่ายไปทั่วโลกภายใต้แบรนด์ตัวเอง เป็นตัวอย่างของธุรกิจขนาดย่อมที่ได้รับความช่วยเหลือทางด้านวิชาการจนยอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่องถึง 40 %

นางสาวกฤษณา สุขบุญญสถิตย์ รองกรรมการผู้จัดการบริษัท กล่าวถึงปัญหาที่ทาง คาร์เปท เมกเกอร์ ประสบคือ ปัญหาการย้อมสีด้ายทอพรม เนื่องจากบริษัทเติบโตมาจากธุรกิจขนาดเล็ก เทคนิคในการย้อมสีก็อาศัยประสบการณ์จากช่างโดยขาดความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์ และมีโรงงานย้อมสีที่ไม่ได้มาตรฐานจึงต้องจ้างโรงย้อมข้างนอก ทำให้ไม่สามารถผลิตสินค้าในกรณีที่ลูกค้าเร่งได้เพราะติดขั้นตอนย้อมสี โดยก่อนที่นักวิจัยจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหานั้นต้องใช้เวลาในทดสอบสีให้ได้ตามความต้องการของลูกค้า 15 วันซึ่งไม่รวมวันที่ต้องต่อคิวโรงย้อม แต่เมื่อมีความช่วยเหลือทางวิชาการทำให้มีห้องปฏิบัติการทดสอบสีและโรงย้อมเป็นของตัวเอง จนสามารถย้อมสีเองได้ภายใน 2 วัน

ภายในเวลา 3 ปีหลังจากแก้ปัญหาหลักเรื่องการย้อมสีที่ช่วยขั้นตอนการทำงานได้มากทำให้บริษัทมีความสามารถที่จะรับงานเพิ่มตามความต้องการของลูกค้าได้ ปัจจุบันจำนวนพนักงานเพิ่มขึ้นจาก 200 คนเป็น 700 คน และรายได้ระหว่างปี 2547-2548 อยู่ที่ 110 ล้านบาท และสำหรับปี 2549 นี้ทางบริษัทตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 200 ล้านบาท และนอกจากการขอความช่วยเหลือทางด้านการย้อมแล้ว คาร์เปทเมกเกอร์ก็กำลังขอความช่วยเหลือในการพัฒนาฝีมือแรงงานการทอพรมให้มีการฝึกทอพรมที่เป็นระบบ

...ความสำเร็จของบริษัทพรมทอมือในอีสานอาจเทียบกันไม่เห็นฝุ่นกับธุรกิจไฮเทคอย่าง “ฮิวเลตต์-แพคการ์ด” หากว่าสิ่งนี้คือจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เอกชนไทยได้เห็นความสำคัญของการทำวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่สำคัญโอกาสนั้นกำลังจะกระจายสู่ภูมิภาค และจะทำให้ “รากแก้ว” ของสังคมไทยแข็งแรงอย่างแท้จริง...






กำลังโหลดความคิดเห็น