เป็นความรู้ที่ท่องกันมาตั้งแต่วัยกระเตาะว่าป่าไม้คือต้นน้ำลำธารและเป็นปราการป้องกันน้ำท่วม แต่ความรู้ดังกล่าวก็แทบจะไม่ได้นำมาต่อยอดเพื่อป้องกันทั้งภัยแล้งและอุทกภัย ทั้งที่เศษซากอินทรีย์ที่ทับถมในป่าไม้นั้นสามารถซับน้ำในฤดูน้ำหลากได้มากถึง 6 เท่าของน้ำหนัก อีกทั้งการทำลายป่าก็ยังมีอย่างต่อเนื่องตลอด 20-30 ปี ทำให้ความสามารถชะลอกระแสสู่ลำธารลดลงจาก 18 ชั่วโมง เหลือแค่ชั่วโมงกว่า
ศ.ดร.เกษม จันทร์แก้ว คณบดีวิทยาลัยสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างอุทกวิทยาป่าไม้กับการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนว่า พื้นที่เขตร้อนนั้นจะเก็บน้ำฝนไว้ในดิน โดยเศษซากอินทรีย์ที่เกิดจากการทับถมของใบไม้ ต้นไม้ที่ตายลง จะทำหน้าที่ซับน้ำฝนที่ตกลงมา ซึ่งอินทรียวัตถุ 1 กรัมเก็บน้ำไว้ได้ 6 กรัม เมื่อไม่มีป่าก็ไม่มีอินทรียวัตถุไว้ซับน้ำและรูพรุนในดินที่จะเก็บน้ำไว้ก็เล็กลงทำให้เก็บน้ำได้น้อยลงด้วย ขณะที่เขตหนาวจะเก็บน้ำไว้บนผิวดินในรูปของหิมะ
"พอมีป่ากว่าฝนจะไปถึงลำธารต้องใช้เวลาครึ่งวัน กว่าจะผ่านจากใบยอด กิ่ง ลำต้น ลงดิน และดินก็ค่อยๆ ซับน้ำไว้ เมื่อ 20-30 ปีที่ผ่านมาได้ทดลองในป่าดิบเขาที่ จ.เชียงใหม่ ฝนที่ตกลงมาต้องใช้เวลา 18 ชั่วโมงจึงไปถึงลำธาร แต่เดี๋ยวนี้แค่ชั่วโมงครึ่งก็ถึงห้วยแล้ว” ศ.ดร.เกษมกล่าว
ศ.ดร.เกษมเพิ่มเติมอีกว่า ป่าไม้น้อยลงทำให้ดินที่ค่อยๆ เก็บน้ำถูกความแรงของกระแสน้ำเซาะออกไป ความอุดมสมบูรณ์ของดินก็ไปพร้อมกระแสน้ำ เดิมน้ำค่อยๆ ไหลลงสู่ที่ต่ำพร้อมความอุดมสมบูรณ์ แต่ปัจจุบันกระแสน้ำไหลเร็วขึ้นก็พัดพาเอากรวด หิน ทรายไปด้วย ทำให้หลังน้ำลดทั้งพื้นที่ซึ่งถูกน้ำชะล้างและพื้นที่ซึ่งถูกน้ำท่วมไม่สามารถเพาะปลูกได้
อีกปัญหาที่ ศ.ดร.เกษมกล่าวคือ การกระจายตัวของฝนทั้งโดยพื้นที่และเวลาเปลี่ยนไป ปริมาณฝนยังเท่าเดิม แต่วันที่ฝนตกเปลี่ยนแปลง โดยเฉลี่ยฝนตก 160 วัน แต่วันที่ตกๆ หนักมีเพียงไม่กี่วัน และตกหนักจนดินไม่สามารถอุ้มน้ำไว้ได้ เพราะปกติดินจะค่อยซับน้ำที่ไหลผ่านยอดใบ กิ่ง ก้านและลำต้นของต้นไม้ ขณะเดียวกันช่วงเวลาที่ฝนตกก็ไม่แน่นอน ในการแก้ปัญหาระยะสั้นควรหาแหล่งเก็บน้ำ แต่ก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่ว่าที่ไหนต้องการเก็บน้ำ
ส่วนการรื้อฟื้นโครงการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นเพื่อบรรเทาน้ำท่วมนั้น ศ.ดร.เกษมไม่ให้ความเห็นว่าควรสร้างหรือไม่ แต่ได้ให้ความรู้ว่าเดิมพื้นที่ในเขตแม่น้ำยมนั้นไม่จำเป็นต้องสร้างเขื่อนเพราะมีแก้มลิงโดยธรรมชาติ เมื่อถึงฤดูน้ำหลากก็ไหลออกไปตามพื้นที่ซึ่งเป็นแก้มลิง แต่ชาวบ้านเข้าไปจับจองพื้นที่ทำให้น้ำไม่มีทางไป ส่วนสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นแล้วจะมีอุทกภัยหรือไม่นั้นยังไม่แน่ พร้อมกันนี้ได้ยกตัวอย่าง “บึงบอระเพ็ด” ว่าเป็นแก้มลิงสำหรับแม่น้ำน่านที่รับน้ำอีกทางแล้วปล่อยไปอีกทาง
สำหรับการแก้ปัญหาระยะยาวนั้นต้องให้ดินเก็บน้ำและให้ดินอยู่กับที่ ซึ่งจำเป็นต้องมีต้นไม้และรักษาป่า โดยปกติป่าจะมีต้นไม้หลายชนิด มีทั้งต้นที่ตายกลายเป็นซากอินทรีย์และต้นไม้ที่เกิดใหม่ เป็นวัฏจักรที่ทำให้ดินสามารถพัฒนาได้ตลอดเวลา และเก็บน้ำได้มาก ทั้งนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสแนะนำในการปลูกป่าไว้ 2 อย่างคือ 1.ปลูกพันธุ์ไม้ที่โปรยเมล็ดได้เอง และ 2. ป้องกันไฟป่า
ทั้งที่เราทราบกันดีว่าป่าไม้ช่วยป้องกันน้ำท่วมได้ แต่ปัจจุบันป่าไม้เหลือเพียงแค่ 20% ซึ่ง ศ.ดร.เกษมกล่าวเป็นสิ่งที่ “รู้แล้วไม่ทำ” และหากเราเก็บพื้นที่บริเวณลุ่มน้ำหรือต้นน้ำไว้ได้ก็จะไม่มีปัญหา แต่เราก็ยกพื้นที่ดังกล่าวให้คนเข้าไปทำมาหากิน ทั้งนี้ปรัชญาในการจัดการน้ำอย่างยั่งยืนก็มีเพียง “เก็บน้ำในดิน เก็บดินอยู่กับที่” คือรักษาป่าให้มีอินทรียวัตถุกักเก็บน้ำได้ และมีต้นไม้ป้องกันการชะล้างของดิน
"ห่วงคนตามร่องเขา ตีนเขา เพราะอยู่ในพื้นที่อันตราย อยู่ตรงทางน้ำ ต่อไปนี้จะเห็นคนตายทุกปี ตามร่องเขาคนอยู่เยอะ คนตายก็จะเยอะด้วย จะทำอย่างไรให้พวกเขาอยู่ได้ และพวกเขาก็ต้องเรียนรู้ด้วยตนเองด้วย ประเทศเขตร้อนจะว่าดีก็ดี แต่อันตรายก็เกิดง่าย ถ้าคุมไม่ดี อย่างทำลายป่าก็เกิดน้ำท่วม ต่อไปจะเจอบ่อย ปกติโฉนดร่องน้ำ ภูเขาให้ไม่ได้ แต่พอมีคนเข้าไป สักพักก็มีคนให้โฉนด เราก็ให้ได้แค่ความรู้วิชาการ แต่หน่วยเหนือคือฝ่ายที่จะต้องนำไปปฏิบัติ" ศ.ดร.เกษมกล่าว