xs
xsm
sm
md
lg

เครือข่ายหน่อไม้ฝรั่งไทยใช้ตัวห้ำ-ตัวเบียนยกระดับสินค้า เจาะตลาดคนรักสุขภาพอินเตอร์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ที่ปรึกษาเครือข่ายหน่อไม้ฝรั่ง วช. เผยตลาดหน่อไม้ฝรั่งไทยมีแววรุ่งในต่างประเทศ ยกเป็นราชินีแห่งพืชผัก สร้างมูลค่าการส่งออกกว่าพันล้าน หมายผลิตเป็นสินค้าเกรดเอส่งออก 100% เดินหน้าขยายความร่วมมือสู่ภาคกลางและอีสาน ใช้ตัวห้ำตัวเบียนแก้ปัญหาสารเคมีตกค้าง ผลิตหน่อไม้ฝรั่งปลอดสารพิษ

สำหรับใครที่เป็นสาวกชมรมคนรักสุขภาพตัวยง เชื่อได้ว่าในบรรดาผักคู่ครัวของเขาคงจะมีผักต้นอวบ กรอบ หวาน อย่าง “หน่อไม้ฝรั่ง” รวมอยู่ด้วย เพราะนอกจากจะมีรสชาติอร่อยแล้ว ยังมีคุณค่าอาหารสูง และมีสารแอพพาจีสต้านการเกิดมะเร็ง โดยที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้จัดการสัมมนา “การนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์เพื่อเพิ่มศักยภาพของชุมชนสู่เชิงพาณิชย์” ขึ้น ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น หลักสี่ กรุงเทพฯ พร้อมการแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องหน่อไม้ฝรั่งอย่างเจาะลึก

ทั้งนี้ หัวข้อสำคัญข้อหนึ่งของการสัมมนาคือ การบรรยายของ ผศ.ดร.ปราโมทย์ สฤษดิ์นิรันดร์ รองคณบดีฝ่ายบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และที่ปรึกษาเครือข่ายหน่อไม้ฝรั่ง วช. ซึ่งกล่าวว่า ปัจจุบันหน่อไม้ฝรั่งถือเป็นพืชส่งออกที่มีความสำคัญระดับต้นๆ ของประเทศ และมีแนวโน้มการผลิตมากขึ้นทุกขณะ เฉพาะปี 2548 มียอดการส่งออกในรูปของหน่อไม้ฝรั่งสด หน่อไม้ฝรั่งแช่แข็ง และหน่อไม้ฝรั่งแปรรูปมากกว่า 1,000 ล้านบาท

เนื่องจากหน่อไม้ฝรั่งเป็นผักที่เป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศมาก อาทิ ประเทศยุโรป ซึ่งต่างยกให้หน่อไม้ฝรั่งเป็นราชินีของผัก (Gueen of Vegetables) ที่แม้ว่าจะผลิตหน่อไม้ฝรั่งได้เอง แต่ก็ผลิตได้ค่อนข้างจำกัดในช่วงหน้าร้อนระหว่างเดือน มี.ค.ถึง เม.ย.ของทุกปี อีกทั้งยังได้หน่อไม้ฝรั่งที่มีคุณภาพไม่ดีนัก คือหน่อไม้ฝรั่งหน่อขาว กลับกันกับประเทศไทยที่ปลูกหน่อไม้ฝรั่งหน่อเขียวซึ่งมีคุณภาพและรสชาติดีกว่าได้มากในทุกฤดูกาล

สำหรับหน่อไม้ฝรั่งเป็นพืชที่สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรได้ 365 วันหรือตลอดทั้งปี มีอายุ 6-12 ปีต่อการปลูกครั้งเดียว ชอบที่ที่มีอากาศร้อนชื้น ดินร่วนปนทราย โดยเฉพาะในภาคกลาง คือ จ.ราชบุรี กาญจนบุรี นครปฐม และสุพรรณบุรี รวมถึงการขยายการปลูกไปที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือคือ จ.สระแก้ว ปราจีนบุรี และสุรินทร์

ทั้งนี้ การปลูกหน่อไม้ฝรั่ง 1 ไร่จะให้ผลผลิตประมาณ 10 กิโลกรัมเป็นประจำทุกวันหลังการปลูก 6-8 เดือน ทว่าก็เป็นพืชที่ต้องการการดูแลมาก โดยเป้าหมายหลักจะเป็นการปลูกเพื่อการส่งออก 100% ส่วนหน่อไม้ฝรั่งที่คัดตกเกรดราว 40% ของที่ผลิตได้จะใช้บริโภคภายในประเทศ เกณฑ์การให้ราคาขึ้นอยู่กับคุณภาพของผลผลิตคือ ขนาด ความสวยงาม และน้ำหนัก

อย่างไรก็ดี การผลิตหน่อไม้ฝรั่งเพื่อการส่งออกยังมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการรับรองมาตรฐานจากประเทศคู่ค้าอย่างเข้มงวด ด้วยระบบเกษตรดีที่เหมาะสม หรือ “แก็บ” (Good Agriculture Practice: GAP) และสัญลักษณ์ตัวคิว (Q) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่วนอีกชนิดคือ การปลูกผักปลอดสารพิษในระบบเกษตรอินทรีย์ คือไม่ใช้สารเคมีใดๆ เลย ที่จะต้องได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากลที่ประเทศคู่ค้ากำหนด ซึ่งของไทยมีมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แห่งประเทศไทย (มกท.)

ทว่า ไม่เพียงแต่การปลูกด้วยระบบมาตรฐานที่ดีเท่านั้น การปลูกหน่อไม้ฝรั่งของเกษตรกรไทยยังจะต้องมีการรวมกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่นและมีการติดต่อประสานงานกับผู้ประกอบการส่งออก เพื่อรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและแลกเปลี่ยนภูมิปัญญาด้วย ซึ่งผู้ประกอบการจะเป็นผู้ที่ทราบถึงความต้องการของตลาด เห็นปัญหา ร่วมแก้ปัญหา และช่วยเจรจาต่อรองกับคู่ค้าได้

นอกจากนั้น เกษตรกรและผู้ประกอบการยังต้องทำตัวให้พร้อมรับเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อมาพัฒนาตัวเอง มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญคือต้องทำงานร่วมกันอย่างมีจริยธรรม ไม่ฝ่าฝืนข้อกำหนดเพื่อนำไปสู่การผลิตหน่อไม้ฝรั่งที่ได้มาตรฐาน อันจะทำให้ไม่ต้องมีการตรวจสอบบ่อยๆ สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น

ส่วนการเกิดขึ้นของเครือข่ายหน่อไม้ฝรั่งที่มีการดำเนินการอยู่นี้ ได้มีการรวมกลุ่มกันอย่างหลวมๆ ในปี 2545 ได้รับการยอมรับมาตรฐานแก็บและตราสัญลักษณ์ตัวคิว โดยในปี 2548-2549 ยังได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการใช้ตัวห้ำและตัวเบียนจากศูนย์วิจัยควบคุมศัตรูพืชโดยชีวินทรีย์แห่งชาติ วช.ด้วย

ขณะที่กิจกรรมของเครือข่ายฯ ได้แก่ การพัฒนาเทคโนโลยีการปลูกหน่อไม้ฝรั่ง การอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีทั้งภาคทฤษฎีและภาคสนาม การสาธิตการปลูก และการติดตามประเมินผล โดยนักวิชาการและผู้นำเกษตรกรที่มีทักษะและประสบการณ์ ซึ่งจะทำให้เกิดพัฒนาการในเครือข่าย เกิดการไหลเวียนของข่าวสาร มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อไม่ให้การผลิตหน่อไม้ฝรั่งหยุดนิ่งอยู่กับที่

“เทคโนโลยีที่นำมาผลิตหน่อไม้ฝรั่งปลอดสารพิษตกค้าง หรือหน่อไม้ฝรั่งเกษตรอินทรีย์ จะต้องเป็นเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์เกษตรกรได้ ไม่ว่าจะเป็นการนำมาใช้แทนยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี และสารกำจัดโรคพืช ซึ่งวิธีที่นำมาใช้คือวิธีทางชีวินทรีย์ โดยใช้ตัวห้ำตัวเบียน เช่น แมงช้างปีกใสกินเพลี้ยอ่อนและเพลี้ยไฟ และมวนเพชฌฆาตเพื่อทำลายหนอนผีเสื้อกัดกินใบและหน่อ ซึ่งเกษตรกรใช้แล้วได้ผลดีมาก”

อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.ปราโมทย์ บอกต่อว่า แม้จะได้นำชีววิธีนี้คือการใช้ตัวห้ำตัวเบียนมาใช้งานจริงแล้วกับแปลงหน่อฝรั่งใน 4 จังหวัดคือ จ.ราชบุรี กาญจนบุรี นครปฐม และสุพรรณบุรี แต่ก็ต้องมีการศึกษาวิจัยกันต่อไปอีก เช่น การศึกษาช่วงเวลาปล่อยตัวห้ำตัวเบียนให้เหมาะสม และการประมาณเวลาปล่อยแมลงให้แมลงที่ปล่อยไปปรับตัวได้

รวมทั้งยังต้องมีการพัฒนาสายพันธุ์แมลงที่เก็บมาจากธรรมชาติ หลีกเลี่ยงการผสมพันธุ์กันของแมลงที่มีสายเลือดเดียวกัน ซึ่งทำให้แมลงตัวเล็ก กินแมลงได้น้อย และอายุสั้น สำหรับปัญหาที่เกิดในขณะนี้คือ การหาตัวห้ำและตัวเบียนมาใช้ให้เพียงพอกับความต้องการ โดยการอบรมให้เกษตรกรผลิตและเลี้ยงเอง หรือให้มีตัวแทนเอกชนผลิตและเลี้ยงจำหน่ายเกษตรกรต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น