ย่างเข้าสูวันที่ 8 ก.ย. ดวงจันทร์จะถูกเงาของโลกบดบังไป 19 % หรือพูดง่ายๆ คือจะเกิด “จันทรุปราคาบางส่วน” ขึ้น ที่จะเห็นได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย และอีก 6 เดือนจากนี้จะเกิดจันทรุปราคาแบบเต็มดวงในคืน “วันมาฆบูชา” ซึ่งนักดาราศาสตร์ไทยก็แนะว่าใครที่ยังไม่เคยเห็นก็ควรจะออกมาชมปรากฏการณ์ครั้งนี้
ช่วงหัวรุ่งของวันที่ 8 ก.ย.ระหว่างเวลา 01.05 - 02.38 น. ที่จะถึงดวงจันทร์จะเคลื่อนเข้าสู่เงามืดของโลก ทำให้ดวงจันทร์แหว่งไปบางส่วน เรียกว่าเป็นปรากฏการณ์ “จันทรุปราคาบางส่วน” ซึ่งจะเห็นได้ทั่วประเทศ (หากไม่มีเมฆฝนมาบดบัง) จากข้อมูลของสมาคมดาราศาสตร์ไทยระบุว่าช่วงเวลา 01.51 น.เป็นช่วงที่ดวงจันทร์เข้าไปในเงาลึกที่สุด โดยจะเห็นด้านขวาในทิศเหนือของดวงจันทร์แหว่งเข้าไปประมาณ 1 ใน 5 ของเส้นผ่านศูนย์กลางดวงจันทร์ รวมเวลาเกิดจันทรุปราคาทั้งหมดประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง
ดร.ศรันย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ(สวดช.) กล่าวว่าจันทรุปราคาเกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ แต่ที่จะเห็นในครั้งนี้ไม่ได้เกิดแบบเต็มดวง และไม่ค่อยมีความรู้ใหม่จากปรากฏการณ์นี้เท่าไหร่ นอกจากได้ถ่ายรูปสวยๆ แต่คนที่ไม่เคยเห็นก็น่าจะดู โดยความสว่างของดวงจันทร์จะน้อยลง บริเวณที่ถูกเงาโลกบดบังจะเป็นสีแดงอิฐทั้งที่ควรจะมืด เนื่องจากเกิดการเลี้ยงเบนของแสงอาทิตย์จากชั้นบรรยากาศโลกไปตกบนพื้นผิวของดวงจันทร์ และแม้ว่าจำนวนครั้งของการเกิดจันทรุปราคาและสุริยุปราคาจะใกล้เคียงกัน แต่เราสังเกตจันทรุปราคาได้ง่ายกว่า
ทางด้าน นายวรเชษฐ์ บุญปลอด กรรมการสมาคมดาราศาสตร์ไทย กล่าวว่าจันทรุปราคาครั้งนี้ดวงจันทร์จะถูกบดบังไป 19 % ซึ่งไม่ถึงกับทำให้ท้องฟ้ามืดจนสังเกตได้ เพราะดวงจันทร์แค่แหว่งไปบางส่วนเท่านั้น ต่างจากกรณีจันทรุปราคาเต็มดวง โดยจันทรุปราคามีทั้งหมด 3 ประเภท ได้แก่ จันทรุปราคาเต็มดวง จันทรุปราคาบางส่วน และจันทรุปราคาเงามัว ซึ่งส่วนใหญ่นักดาราศาสตร์จะให้ความสนใจจันทรุปราคาเต็มดวงมากกว่าประเภทอื่น เพราะให้ข้อมูลวิทยาศาสตร์มากกว่า ส่วนแบบเงามัวนั้นสังเกตได้ค่อนข้างยากและดูไม่ต่างจากดวงจันทร์ปกติ
นายวรเชษฐ์กล่าวต่อว่าส่วนหนึ่งใช้การเกิดจันทรุปราคาระบุสัณฐานของโลกว่าเป็นทรงกลมจากการสังเกตเงาที่ไปตกบนดวงจันทร์ และในอดีตเคยใช้ในการหาลองจิจูดด้วย แต่ปัจจุบันมีทั้งดาวเทียม จีพีเอสระบุตำแหน่ง และเทคโนโลยีก้าวหน้าไปมากจึงไม่ได้ใช้แล้ว นอกจากนี้นักดาราศาสตร์ยังใช้ในการศึกษาความหนาของชั้นบรรยากาศโลกด้วย โดยจะคำนวณจากการสังเกตเมื่อเริ่มเกิดจันทรุปราคาจนสิ้นสุด และนำข้อมูลที่ได้จากการสังเกตหลายๆ ครั้งมาคำนวณ ซึ่งการที่โลกมีชั้นบรรยากาศทำให้ไม่สามารถใช้ขนาดจริงของโลกมาคำนวณได้แต่ต้องเพิ่มเป็น 2% (ขนาดดังกล่าวไม่ใช่ความหนาของบรรยากาศ เนื่องจากยังต้องคำนวณอีกหลายขั้นตอน)
ส่วนความถี่ของการเกิดจันทรุปราคานั้น นายวรเชษฐ์ให้ข้อมูลว่าจะเกิดจันทรุปราคาประมาณปีละ 2 ครั้ง โดยจะห่างกันประมาณ 6 เดือน แต่ไม่สามารถระบุได้แน่นอนว่าเป็นจันทรุปราคาประเภทใด เนื่องจากบางปีเกิดแบบเต็มดวงทั้ง 2 ครั้ง หรือบางปีเกิดแบบเงามัวและแบบบางส่วน และจากสถิติในช่วง 5,000 ปี คือ 2,000 ปีก่อนคริสศักราชถึงปี ค.ศ.3000 นั้นจะเกิดจันทรุปราคาแบบเงามัว 36.7% จันทรุปราคาแบบบางส่วน 34.6% และจันทรุปราคาแบบเต็มดวง 28.8%
สำหรับจันทรุปราคาครั้งต่อไปจะเป็นแบบเต็มดวงซึ่งจะเกิดในคืนวันมาฆบูชาก่อนย่างสู่เช้าวันที่ 4 มี.ค.50 ซึ่ง นายวรเชษฐ์ได้ให้ความรู้เพิ่มเติมว่า การคำนวณวันมาฆบูชานั้นคิดตามปฏิทินจันทรคติซึ่งจะคลาดเคลื่อนกับดวงจันทร์จริงๆ บนท้องฟ้า เพราะการคำนวณไม่ได้ดูจากตำแหน่งจริงของดวงจันทร์ แต่มาจากสูตรที่ใช้กันมาหลายร้อยปี จึงทำให้การคำนวณคลาดเคลื่อน
การเกิดจันทรุปราคาบางส่วนครั้งนี้ คนบนโลกในบางพื้นที่ของทวีปแอนตาร์กติกา เอเชีย ออสเตรเลีย แอฟริกาและยุโรปตะวันออกก็จะเห็นด้วยเช่นกัน