วช.เปิดตัว 5 โครงการวิจัย “ไข้หวัดนก” ยันหวัดนกยังไม่กลายพันธุ์ แต่เริ่มมีความเปลี่ยนแปลงด้านพันธุกรรมบ้างแล้ว ระบุเชื้อที่พบใน จ.นครพนม มีพันธุกรรมคล้ายเชื้อที่พบทางภาคใต้ของจีน ขณะที่เชื้อที่พบในส่วนอื่นๆ ของประเทศยังไม่พบความเปลี่ยนแปลงที่น่าวิตก พร้อมเดินหน้าสร้างการรับรู้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเลี้ยงสัตว์ปีกให้ประชาชน
วันนี้ (21 ส.ค.) สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดการแถลงข่าว "วช.มุ่งงานวิจัยเชิงรุก แก้วิกฤติไข้หวัดนก" ขึ้น ณ โรงแรมมารวยการ์เด้น กรุงเทพฯ เพื่อเผยแพร่งานวิจัยเกี่ยวกับการติดตามเฝ้าระวัง และการตรวจสอบการระบาดของเชื้อไข้หวัดนกในประเทศไทย ซึ่ง วช.จัดสรรงบประมาณวิจัยเชิงบูรณาการและงบวิจัยการเปลี่ยนแปลงพลวัตโลกเพื่อการวิจัยเชื้อไข้หวัดประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2549 ราว 25 ล้านบาท โดยมีผลงานวิจัยที่นำมาแถลงข่าว 5 โครงการด้วยกัน
เริ่มตั้งแต่โครงการ "การศึกษาวิวัฒนาการของเชื้อไข้หวัดนก (H5N1) ที่แยกได้จากไก่และเป็ดในประเทศไทย" ของ ผศ.น.สพ.ดร.อลงกร อมรศิลป์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้ศึกษาลำดับเบสทั้งหมดของเชื้อที่แยกได้จากเป็ดและไก่ในช่วงระยะการระบาดต่างๆ ทำให้เข้าใจวิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงของเชื้อไข้หวัดนกในไก่และเป็ดในประเทศไทย
ทั้งนี้ การศึกษาดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมตัวอย่างเชื้อไข้หวัดนกในปี 2547 จากนั้นจึงเก็บตัวอย่างและตรวจพิสูจน์เชื้อไข้หวัดนกที่แยกได้จากไก่และเป็ดในบริเวณ จ.นครนายก กาญจนบุรี และนครปฐม ตลอดจนจังหวัดใกล้เคียงในช่วงเวลาต่างๆ ในปี 2548 แล้วจึงนำมาหาลำดับเบสทั้งหมดของไข้หวัดนก เพื่อหาความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมของเชื้อที่แยกได้ โดยวิธีการเปรียบเทียบพันธุกรรมและการวิเคราะห์กลุ่ม
ผศ.น.สพ.ดร.อลงกร เผยผลการศึกษาว่า เชื้อไข้หวัดที่พบในประเทศไทยในปี 2547-2548 ยังเป็นเชื้อกลุ่มเดียวกันอยู่ แต่แยกได้เป็น 2 กลุ่มย่อยที่มีความแตกต่างทางพันธุกรรมเพียง 1-2 % ซึ่งไม่ส่งผลถึงความร้ายแรงต่อการระบาดของโรคเพิ่มขึ้น ส่วนในปี 2549 ได้มีการศึกษาในพื้นที่ จ.พิจิตรและนครพนม พบว่า เชื้อไข้หวัดนกในพื้นที่ จ.พิจิตร ที่มีผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดนกไปเมื่อเร็วๆ นี้ยังเป็นเชื้อตัวเดิมที่มีการระบาดอยู่ก่อนหน้านี้ การระบาดครั้งล่าสุดจึงเป็นเพียงการระบาดซ้ำซาก
ขณะที่เชื้อไข้หวัดนกที่พบที่ จ.นครพนมกลับมีความเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมสอดคล้องกับเชื้อไข้หวัดนกที่มีการระบาดในตอนใต้ของประเทศจีน ทว่ายังต้องมีการศึกษาทางระบาดวิทยาและเก็บตัวอย่างมาศึกษามากขึ้นต่อไป จึงจะทราบผลว่ามีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมไปมากน้อยอย่างไรบ้าง อย่างไรก็ดี เขาเชื่อว่า เชื้อไข้หวัดนกที่ระบาดอยู่ทั้ง 2 แห่งนั้นก็ยังไม่มีผลต่อความรุนแรงของเชื้อที่มากขึ้นแต่อย่างใด
“เชื้อไข้หวัดนกได้มีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ยังไม่มีการกลายพันธุ์ที่ทำให้เกิดอันตรายหรือมีความรุนแรงของโรคมากขึ้น” ผศ.น.สพ.ดร. อลงกร กล่าว
ส่วนโครงการที่ 2 คือโครงการ “การศึกษาเชื้อไวรัสไข้หวัดนก H5N1 ในนกธรรมชาติและนกสวยงาม” โดย ผศ.น.สพ.ปานเทพ รัตนากร คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่ง ผศ.น.สพ.ปานเทพ กล่าวว่า จากการศึกษาพบว่าการระบาดของเชื้อไข้หวัดนกในเป็ดพันธุ์พื้นเมืองของไทยเกิดความรุนแรงของโรคต่ำกว่า แต่สามารถแพร่กระจายเชื้อได้ยาวนาน
การที่มีสัตว์ติดเชื้อโดยไม่มีอาการชัดเจนและปล่อยให้เชื้อสร้างปัญหาอย่างมากในการควบคุมการระบาด ได้ส่งผลกระทบต่อสัตว์ปีกอื่นๆ ตามไปด้วย อาทิ นกธรรมชาติที่อพยพเข้ามาในประเทศอย่างนกเป็ดแดงที่ยังไม่มีการศึกษาที่ชัดเจน นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อนกสวยงาม ซึ่งเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่ประเทศไทยผลิตและส่งออกได้ปีละกว่า 700 ล้านบาทให้ต้องพลอยซบเซาไปด้วย
“จากการศึกษาที่ผ่านมา ประเทศไทยยังไม่พบการระบาดของเชื้อไข้หวัดนกในนกสวยงามเลย ดังนั้นจึงต้องมีการศึกษาที่ชัดเจน เชื่อถือได้ เพื่อดึงตลาดการค้านกสวยงามกลับคืนมา” ผศ.น.สพ. ปานเทพ กล่าว
สำหรับโครงการ “ระบาดวิทยาของโรคไข้หวัดนกในระดับหมู่บ้านในพื้นที่ภาคกลาง” ของ ผศ.น.สพ.ดร.ธีระ รักความสุข คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) เป็นโครงการที่ศึกษาถึงความชุกชุมของการระบาดของเชื้อไข้หวัดนกโดยใช้วิธีสุ่มตรวจ เพื่อสร้างหมู่บ้านต้นแบบปลอดเชื้อไข้หวัดนก ก่อนพัฒนาสร้างเป็นเครือข่ายในลำดับต่อไป
ผศ.น.สพ.ดร.ธีระ เผยว่า นอกจากเขาจะศึกษาการระบาดของเชื้อไข้หวัดนกในสัตว์ปีกแล้ว ยังได้ศึกษาถึงการระบาดของเชื้อในสุกรและม้าในพื้นที่การศึกษาด้วย โดยจะนำเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงเพื่อควบคุมการระบาดได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้ได้รูปแบบการเลี้ยงและผลสัมฤทธิ์ของการสื่อต่อการป้องกันโรคไข้หวัดนกในสัตว์ปีกของผู้เลี้ยงไก่พันธุ์พื้นเมือง
ด้านโครงการที่ 4 “การประเมินฟาร์มสัตว์ปีกเพื่อเข้าสู่ระบบคอมพาร์ทเม้นท์ทาไลเซชั่น” ของ ผศ.น.สพ.ดร.ศิริชัย วงษ์นาคเพ็ชร คณะสัตวแพทยศาสตร์ มก. โดยเจ้าของโครงการเผยว่า ระบบดังกล่าวคือระบบการเฝ้าติดตามโรคไข้หวัดนกเพื่อการป้องกัน ซึ่งจากการประชุมของสำนักระบาดวิทยานานาชาติได้มีการเสนอว่า ระบบดังกล่าวเป็นตัวเลือกที่ดีที่สามารถนำมาจัดการกับการระบาดของโรคไข้หวัดนกได้ โดยขณะนี้ กรมปศุสัตว์ได้นำระบบดังกล่าวไปดำเนินการในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ปีกที่สมัครเข้าร่วมโครงการแล้ว คาดว่าภายในสิ้นปีนี้ จะมีฟาร์มสัตว์ปีกราว 1,000 แห่งทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการ
ส่วนในโครงการของ ผศ.น.สพ.ดร.ศิริชัย จะเริ่มดำเนินการศึกษาถึงผลดีผลเสียของระบบดังกล่าวตั้งแต่ ส.ค.2548 เป็นต้นไปจนถึงราวเดือน ก.ค.2550 โดยระบบดังกล่าวจะเน้นถึงมาตรฐานความปลอดภัยทางชีวภาพเป็นหลัก ที่สำคัญคือการปรับปรุงระบบการจัดการการเลี้ยงสัตว์ให้ได้มาตรฐานที่ปลอดภัย ซึ่งจะส่งผลดีต่อการส่งออกสัตว์ปีกของไทย
สำหรับโครงการสุดท้ายคือ โครงการ “การศึกษาปัจจัยเสี่ยง ความรู้ ทัศนคติ และแนวทางการดำเนินการควบคุมป้องกันโรคไข้หวัดนก” ของ ผศ.น.สพ.ดร.สุวิชัย โรจนเสถียร คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเจ้าของโครงการระบุว่า ในการป้องกันการระบาดของโรคไข้หวัดนกที่ได้ผลเป็นที่น่าพอใจมากที่สุด น่าจะเกิดมาจากการรับรู้และการมีส่วนร่วมของผู้เลี้ยงสัตว์ปีกเป็นหลัก การใช้มาตรการทางกฎหมายมาบังคับจะได้ผลแต่ก็เพียงระยะสั้นๆ เท่านั้น
ดังนั้น การป้องกันการระบาดของโรคไข้หวัดนกที่ได้ผลจะต้องสร้างการรับรู้เกี่ยวกับโรคไข้หวัดนกให้แก่ผู้เลี้ยงได้เข้าใจอย่างชัดเจน เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติ และพฤติกรรมการเลี้ยงและจัดการสัตว์ของผู้เลี้ยงให้เหมาะสม โดยเป็นการกระทำโดยตัวเอง ไม่ใช่เป็นผลมาจากการบังคับทางกฎหมาย จากในปัจจุบันที่ยังพบการเลี้ยงและการจัดการสัตว์ปีกที่ไม่เหมาะสมนัก ทั้งในในสถานที่ฆ่าและชำแหละสัตว์ปีก สนามไก่ชน และฟาร์มเลี้ยงไก่ไข่


