สภาวิจัยฯ จัดประชุมวางแผนแม่บทอาชีพนักวิจัยเสนอรัฐบาล ยกระดับเป็นนักวิชาชีพ เน้นให้ความเชื่อมั่นในการทำงาน มีระบบเลื่อนขั้น – จ่ายค่าตอบแทน สังคมให้การยอมรับเทียบเท่าวิชาชีพแพทย์และวิศวกร รวมถึงให้การสนับสนุนแก่นักวิจัยอิสระ หวังภายใน 1-2 ปี ต้องเพิ่มจำนวนนักวิจัยไทยให้ได้ 5-8 คนต่อจำนวนประชากรหมื่นคนตามเป้าหมายของสภาพัฒน์ฯ แต่มีข้อแม้ต้องดูงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลด้วย ชี้ทิศทางการวิจัยไทยกลิ้งไปกลิ้งมาขาดความชัดเจนทำให้นักวิจัยสับสน เสนอตั้งหัวหน้าฝ่ายวิจัย “ซีอาร์โอ” เสริมศักยภาพระบบการวิจัยไทย
“วิชาชีพนักวิจัย” คำๆ นี้อาจฟังดูแปลกหูอยู่สักหน่อย สำหรับผู้ที่อยู่ในแวดวงนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ในบ้านเรา เพราะเท่าที่ผ่านๆ มา ยังไม่เคยมีการยกระดับนักวิจัยให้เป็นวิชาชีพอย่างจริงๆ จังๆ มาก่อน อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 1 ก.ค. สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้จัดการประชุมพัฒนาอาชีพนักวิจัยขึ้น ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น เพื่อระดมสมองนักวิจัยกว่า 200 คนจากทุกภาคส่วน ทั้งจากสถาบันการศึกษาภาครัฐและเอกชน ตลอดจนถึงนักวิจัยจากหน่วยวิจัยต่างๆ
ศ.ดร.อานนท์ บุณยะรัตเวช เลขาธิการ วช. กล่าวว่า ที่ผ่านมาการลงทุนด้านการวิจัยพัฒนาในประเทศไทยยังมีอยู่น้อยเท่าที่ควรจะเป็น โดยจากการสำรวจเม็ดเงินลงทุนในด้านนี้ต่อมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี ในปี 2548 พบว่ามีมูลค่าการลงทุนเพื่อการวิจัยพัฒนาเพียงร้อยละ 0.26 เท่านั้น ขณะที่ญี่ปุ่นจะอยู่ที่ร้อยละ 3.12 และเกาหลีใต้อยู่ที่ร้อยละ 2.96 นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีนักวิจัยอยู่ค่อนข้างน้อยเช่นกัน คือเฉลี่ย 2.9 คนต่อจำนวนประชาการ 1 หมื่นคน ขณะที่สิงคโปร์จะอยู่ที่ 47.1 คน เกาหลีใต้อยู่ที่ 31.6 คน และจีนอยู่ที่ 6.3 คน
ดังนั้น เพื่อเพิ่มศักยภาพการวิจัยไทยสู่การแข่งขันระดับนานาชาติ ประเทศไทยจึงจะต้องมีระบบวิจัยที่เข้มแข็งและมีคุณภาพ กล่าวคือเพิ่มจำนวนนักวิจัยให้มากขึ้นไปอยู่ที่ 5-8 คนต่อจำนวนประชากร 1 หมื่นคนภายใน 1-2 ปีนี้ ตามเป้าหมายที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือสภาพัฒน์ฯ กำหนดไว้ ทั้งนี้จะต้องแปรผันกับงบประมาณสนับสนุนที่ได้รับด้วย โดยจะมีการจัดทำแผนแม่บทพัฒนาอาชีพนักวิจัยให้แล้วเสร็จในเดือนกันยายนปีนี้ จากนั้นจะนำไปเสนอต่อรองนายกรัฐมนตรีเพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐบาลและเริ่มดำเนินการต่อไป ซึ่งนอกจากนี้แล้ว ระบบวิจัยที่เข้มแข็งยังต้องมีการสร้างอาชีพนักวิจัยให้มีความก้าวหน้าในตำแหน่ง มีแรงจูงใจ ได้รับค่าตอบแทนที่ดี และได้รับการยอมรับจากสังคมเทียบเท่ากับวิชาชีพอื่นๆ เช่น แพทย์และวิศวกรด้วย
สำหรับสาขาการวิจัยที่ประเทศไทยยังขาดนักวิจัยอยู่มาก ศ.ดร.อานนท์ กล่าวว่า ได้แก่ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การเกษตร สังคมศาสตร์ และกฎหมาย ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ประเทศไทยมีนักวิจัยค่อนข้างน้อยเป็นเพราะนักวิจัยไทยไม่มีความมั่นคงในอาชีพ ซึ่งอาจแบ่งนักวิจัยไทยออกเป็น 3 กลุ่มคือ 1.นักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ในหน่วยงานราชการ ซึ่งจะมีค่าวิชาชีพตามตำแหน่งทางราชการเป็นผลตอบแทน 2.นักวิจัยที่เป็นอาจารย์ในสถาบันการศึกษาเช่นมหาวิทยาลัย ซึ่งจะมีค่าตอบแทนจากการสอนและผลงานทางวิชาการ และ 3. นักวิจัยอิสระที่ทำการวิจัยเป็นงานเสริม ต้องพึ่งพิงทุนสนับสนุนการทำงานวิจัย โดยมีศักยภาพการเป็นนักวิจัยเต็มตัวได้
ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องวางรากฐานวิชาชีพนักวิจัยให้มีความมั่นคงต่อไป เพื่อให้เกิดงานวิจัยคุณภาพ สร้างและก่อให้เกิดผลกระทบและมูลค่าเพิ่มแก่สังคมและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนได้ รวมถึงเป็นการชักนำให้ภาคเอกชนเห็นความพร้อมของการวิจัยของไทย และเริ่มให้ความสำคัญกับการทำการวิจัยพัฒนาในองค์กรเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการของตัวเองต่อไป
ทั้งนี้ ศ.ดร.อานนท์ กล่าวด้วยว่า การวางรากฐานอาชีพนักวิจัยครั้งนี้ยังจะส่งผลต่อทิศทางการวิจัยของไทยให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นด้วย จากที่ผ่านมาพัฒนาการการวิจัยของไทยจะอยู่ในรูปปิรามิดกลิ้ง คือ กลิ้งไปกลิ้งมาระหว่างการวิจัยเพื่อให้ได้องค์ความรู้พื้นฐาน และการวิจัยเพื่อให้เกิดการนำไปใช้ประโยชน์ ตามแต่จะมีการสนับสนุนจากภาครัฐในขณะนั้น ทำให้นักวิจัยวางตัวไม่ถูกว่าควรจะอยู่ ณ ส่วนใด ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว การวิจัยทั้ง 2 ส่วนนี้ต่างมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศทั้งสิ้น จึงควรให้ความสำคัญอย่างเท่าเทียมกัน
ด้านแนวทาง 6 ข้อของการสร้างระบบรองรับนักวิจัยไทยซึ่ง ศ.ดร.อานนท์ ได้นำเสนอประกอบด้วย 1.ทำให้มีอาชีพนักวิจัยโดยส่วนราชการ มีตำแหน่งรองรับและมีระบบเลื่อนขั้นที่เป็นหลักประกันการมีอาชีพนักวิจัยโดยแยกออกจากระบบตำแหน่งที่มีอยู่ 2.มีแนวทางและหลักเกณฑ์ในการพิจารณาความสามารถของนักวิจัย โดยจำแนกออกเป็นประเภทตามความหลากหลายของทักษะ ความครอบคลุมของทักษะในวงจรความสำเร็จของการดำเนินการวิจัย 3.การสร้างการยอมรับอาชีพนักวิจัยและความเป็นอิสระจากระบบ ขั้นตอนราชการ และระบบประสานงานการบังคับบัญชาเดิมที่เข้ามากำหนดขั้นตอน และการปกครองที่ไม่จำเป็น
4.มีตำแหน่งหัวหน้าผู้บริหารการวิจัย (Chief Research Officer: CRO) ในหน่วยงานระดับกรมเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวก สนับสนุน ส่งเสริม และประสานงานให้นักวิจัย 5.ให้ความสำคัญแก่นักทดลอง ผู้ปฏิบัติการทดลอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะที่ก่อให้เกิดความรู้แฝง (Tacit Knowledge) และ 6.จัดงบประมาณเฉพาะโดยกำหนดเป้าหมายเชิงคุณภาพและปริมาณในแต่ละปี เพื่อได้จำนวนนักวิจัยคุณภาพในปริมาณที่เพียงพอตามแผน อย่างไรก็ตาม เลขาธิการ วช. ทิ้งท้ายว่า ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะจะต้องใช้งบประมาณการดำเนินการเท่าใด แต่จะต้องรอการระดมสมองเสียก่อนจึงจะตอบได้
สำหรับการประชุมพัฒนาอาชีพนักวิจัยในครั้งนี้ เป็นการประชุมพัฒนาอาชีพนักวิจัยครั้งที่ 1 โดยจะมีการเดินสายจัดการประชุมในลักษณะเดียวกันนี้ในเขตภูมิภาคอีก 3 ครั้ง คือ ณ จ.ขอนแก่น เชียงใหม่ และสุราษฎร์ธานี ก่อนที่จะกลับมาสรุปผลการประชาพิจารณ์ครั้งสุดท้ายในงาน “การนำเสนอผลงานวิจัยแห่งชาติ 2549” (Thailand Research Expo 2006) ในวันที่ 12 ก.ย.2549 ณ โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัล ลาดพร้าว


