เมื่อเร็วๆ นี้เราได้ชื่นชมกับโครงงานวิทยาศาสตร์ซึ่งศึกษาการแตกตัวของต้อยติ่ง และไปคว้ารางวัลระดับโลกกลับมาฝากคนไทย อีกทั้ง ราว 2 ปีที่ผ่านมาก็มีโครงงานวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับคลื่นการเดินของกิ้งกือซึ่งเป็นข่าวเกรียวกราวไปทั่วประเทศก็คว้ารางวัลได้จากเวทีเดียวกัน ความสำเร็จของโครงงานทั้ง 2 มาจากแรงหนุนของครูผู้เห็นความสำคัญของการค้นคว้าวิจัย และเลือกที่จะผลักดันนักเรียนตามความถนัดและความสนใจ โดยไม่ได้ชี้นำให้ทำตามคำสั่ง แม้กระทั่งโจทย์วิจัยต้องเกิดจากความสนใจของเด็กเอง
อ.นิพนธ์ ศรีนฤมล อาจารย์สายวิทย์จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา คืออาจารย์ที่ปรึกษาของโครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง “คลื่นการเดินของกิ้งกือ” และ “การแตกของฝักต้อยติ่ง” ที่ได้รับรางวัลระดับโลกจากการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ในงาน "อินเทล ไอเซฟ" (Intel ISEF) ซึ่งเป็นงานประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ระดับโลก ณ เมืองอินเดียนาโปลิส รัฐอินเดียนา สหรัฐอเมริกา นอกจากนี้เขายังเป็นที่ปรึกษาโครงงานวิทยาศาสตร์ให้กับนักเรียนอีกหลายโครงงาน
ใครที่ได้เข้าไปในห้องทำงานของ อ.นิพนธ์ อาจจะเข้าใจผิดว่าเป็นห้องเก็บสัมภาระนักเรียน เพราะภายในห้องเต็มไปด้วยหนังสือและสิ่งของต่างๆ มากมายวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ หรืออาจจะรู้สึกแปลกใจที่เห็นเครื่องดนตรีอย่าง ซออู้หรือขลุ่ย อยู่ในห้องโครงงานวิทยาศาสตร์ สิ่งของเหล่านั้นเป็นอุปกรณ์และหนังสือเพื่อทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ส่วนเครื่องดนตรีก็เป็นอุปกรณ์ที่นักเรียนใช้ทำโครงงานเกี่ยวกับเรื่องคลื่นเสียง อีกทั้งเขายังไม่เคยนั่งทำงานที่โต๊ะส่วนตัวเลย แต่จะลงไปคลุกที่พื้นห้องซึ่งนักเรียนใช้ทำโครงงาน
“อยู่ในห้องนี้ก็ดีอย่างหนึ่งคือค่อนข้างมีความอิสระที่จะบริหารจัดการอะไร ก็จะเห็นว่าห้องไม่ค่อยสวย หลายคนก็ถามว่าทำไมไม่จัดห้องให้สวย แต่เราเห็นว่าเป็นห้องทำงาน ไม่ต้องจัดเพื่อหลอกใคร เพียงแค่อย่าให้เละเทะมาก แต่ช่วงนี้มีเด็กหลายกลุ่มมาทำงาน เวลาที่พวกเขาทำงาน บางทีเขาก็กลิ้งไปกับพื้น คิดไม่ออกก็นอนไปกับพื้น ห้องนี้ค่อนข้างจัดยาก ไม่ใช่ห้องแล็บ แต่ก็ไม่เชิงเป็นห้องเรียน เป็นห้องทำงานที่ต้องให้ความสะดวกแก่เขา”
ความสนใจในการส่งเสริมให้นักเรียนทำโครงงานวิทยาศาสตร์มาจากการได้ทำวิจัยในงานวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโททางด้านสัตววิทยา โดยได้ศึกษาเรื่อง “เต่า” ซึ่ง อ.นิพนธ์ได้เข้าเรียนต่อปริญญาโทที่ภาควิชาสัตวทิยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายหลังจากจบการศึกษาคณะคุรุศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน และได้เข้าสอนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาซึ่งเป็นสถาบันที่เขาจบมา ทั้งนี้เขาเห็นมีความรู้ในเรื่องการศึกษาพอสมควรแล้ว จึงควรที่เสริมความรู้ในระดับลึกเพื่อให้สอนได้ดียิ่งขึ้น
“การได้เรียนเฉพาะทางและได้ทำวิทยานิพนธ์ ทำให้เห็นคุณค่าของงานวิจัย การที่นักเรียนเอาแต่เรียน ไม่เวิร์ค ต้องฝึกทำวิจัยด้วย เพราะจากการทำวิทยานิพนธ์ ทำให้เราฝึกจัดระเบียบความคิด นักเรียนก็น่าจะได้ฝึกตรงนี้ จึงสนใจการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ มีลูกศิษย์ที่เขาไปเรียนต่อวิศวะที่อเมริกา เพื่อนๆ เขาที่โน่นก็ถามว่ายูเรียนวิศวะแต่ทำไมยูรู้เรื่องการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อล่ะ เขาก็ตอบว่าเพราะเคยทำโปรเจ็กต์ ทำให้เราประทับใจว่าบางทีการทำโปรเจ็กต์ก็ก็ไม่ได้ต่อยอดตรงๆ แต่ทำให้เขาดีมีมุมมองที่หลากหลาย”
อ.นิพนธ์กล่าวว่ารักที่จะเป็นครูมาตั้งแต่เด็ก โดยในสมัยเป็นนักเรียนที่โรงเรียนเตรียมอุดมนั้นมีครูวิชาเคมีคือ อ.ศรีรัตน์ สัตยาพันธุ์ และครูวิชาชีววิทยาคือ อ.โรจนี จะโนภาษ ซึ่งมีจิตวิทยาในการสอน ทำให้เรื่องง่ายเป็นเรื่องยาก และทำให้นักเรียนรู้สึกตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา จึงเลือกที่จะเรียนต่อเพื่อเป็นครู แม้ทางบ้านจะอยากให้เรียนแพทย์เนื่องจากเห็นว่าเรียนดี แต่ด้วยความรักในการเป็นครูมากว่าเขาจึงเรียนในสิ่งที่สนใจ
อย่างไรก็ตามการสอนในช่วงแรกเขาพยายามที่จะให้ข้อมูลแก่เด็กมากๆ แต่เด็กกลับไม่สามารถรับสิ่งที่เขาสอนได้ เมื่อกลับมาพิจารณาเขาก็เห็นว่าการที่เด็กได้คิดเอง แก้ปัญหาที่มาจากความสงสัยของตัวเอง จะทำให้ความรู้นั้นติดอยู่กับเด็กไปตลอด ผิดกับความรู้ที่ครูพยายามยัดเยียด ในช่วงแรกเด็กอาจจะทำข้อสอบได้แต่สุดท้ายก็ลืม และเห็นว่าการให้เด็กได้ทำโครงงานจะแก้ปัญหาได้
“เวลาเด็กมาปรึกษาเรื่องทำโครงงานว่าจะทำเรื่องอะไรดี ก็จะไม่บอกเขาว่าทำเรื่องนั้นสิ เรื่องนี้สิ ตัวเองทำเรื่องเต่าก็ให้นักเรียนทำแต่เรื่องเต่า ก็ไม่ใช่ ก็ถามเขาว่าเขาอยากทำอะไร ถ้าเขาอยากทำเรื่องนี้แล้ว ก็ต้องคอยเป็นเพื่อนเขามากกว่าจะบอกว่าต้องทำอย่างนั้น จะไม่บอกให้เขาทำเป็นขั้นๆ เปรียบกับตัวเองตอนอ่านคู่มือขับรถ มีขั้นตอนมากมาย เหยียบตรงนั้น ขาซ้ายต้องแตะตรงนี้ ขั้นตอนเยอะๆ พวกนี้ทำให้เรารู้สึกกลัว แต่พอเราฝึกก็เป็นเอง การทำโครงงานวิทยาศาสตร์เหมือนกัน ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุและผล ไม่ต้องบอกเป็นขั้นๆ สิ่งสำคัญคือเราต้องอยู่เป็นเพื่อนเขา มีปัญหาก็คอยให้กำลังใจ บางครั้งก็ไม่ต้องทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญไปทุกเรื่อง แม้เราจะพอรู้คำตอบอยู่บ้าง”
นอกจากการให้เด็กได้คิดแก้ปัญหาเองแล้ว บางครั้ง อ.นิพนธ์ ก็ต้องทำหน้าที่เป็น “ป๋าดัน” ด้วยการพานักเรียนไปรู้จักกับนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องที่นักเรียนสงสัยเพื่อขอคำแนะนำ และเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับนักเรียน ขณะเดียวกันก็ทำตัวเป็น “นักเรียน” กับลูกศิษย์ในหลายๆ ครั้ง โดยพูดคุยกับเด็กๆ ในที่ปรึกษาว่าเรียนรู้อะไรไปบ้าง ซึ่งทำให้รู้สึกว่างานที่ทำนั้นมีจิตวิญญาณ ไม่ใช่เพียงแค่ได้รางวัลแล้วจบ แต่ต้องคิดต่อไปว่าจะทำอย่างไรต่อไป
การได้ดูแลเด็กที่ได้ชื่อว่าเป็น “เด็กเก่ง” หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องง่าย แต่ อ.นิพนธ์เผยว่าก็มีปัญหาเช่นกัน เพราะเด็กแต่ละคนก็มีพื้นเพที่ไม่เหมือนกัน เด็กบางก็มีความเชื่อมั่นในตัวเองมาก จึงต้องเอาใจใส่ให้มาก พร้อมทั้งให้ความเห็นว่าทั้งเด็กที่ไม่เก่งและเด็กเก่งต่างก็มีปัญหา แต่มีปัญหาไปคนละอย่าง จึงต้องทำความเข้าใจในความแตกต่างของคนแต่ละคน ซึ่งเขารู้สึกว่าเป็นเรื่องดีที่ได้เรียนคุรุศาสตร์เนื่องจากสอนให้รู้จักมองคนซึ่งเป็นผู้เรียน ไม่ใช่มองแค่ตัวเนื้อหาที่สอน
“ถึงแม้เด็กของท่านจะไม่ได้เป็นเด็กที่เรียนเก่ง แต่อยากให้มองเด็กที่รู้จักเอาตัวรอดซึ่งเป็นเด็กที่มีปัญญา ยกตัวอย่างเด็ก 2 คนที่ไปเจอหมีในป่า เด็กที่เรียนเก่งก็คำนวณว่าต้องหนีด้วยความเร็วเท่าไรจึงจะทัน ส่วนเด็กอีกคนก็วิ่งหนีโดยไม่มัวคิดก็รอดไปได้ เด็กอย่างนี้เรียกว่ามีปัญญา หากมองที่จุดนี้เราก็จะเห็นว่ามีเด็กอย่างนี้ทั่วหัวระแหง ที่ไหนก็มีเด็กแบบนี้ เราต้องดึงให้เขาได้พัฒนาตัวเอง หากครูให้โอกาสเขา ครูก็เหมือนมีขุมทรัพย์อยู่ในมือ ดอกไม้ไม่บานวันนี้ก็บานวันหน้า และอาจจะบานทนกว่าที่บานวันนี้ก็ได้” อ.นิพนธ์ฝากถึงอาจารย์ทุกคน
คลิกที่ไอคอน Manager Multimedia
เพื่อรับชมภาพความภาคภูมิใจของ อ.นิพนธ์
