ต่อจากนี้ไปคุณผู้ปกครองคงไม่ต้องปวดเศียรเวียนเกล้า กับข้ออ้างสารพัดการเจ็บป่วยของคุณหนูๆ ในยามที่ไม่อยากไปโรงเรียน เพียงแค่เสริมสุขภาพให้ลูกรักดื่มนมโรงเรียนที่เพิ่ม DHA เป็นประจำ เพียงเท่านี้ก็จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดการเจ็บป่วย และการขาดเรียนของลูกรักได้
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อริศร์ เทียนประเสริฐ อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เล่าถึง ผลงานวิจัย “ประโยชน์ของการเพิ่ม DHA ในน้ำนมมาผลิตเป็นนมของโรงเรียน” ว่า เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวิทยาลัยศิลปากร และสหกรณ์โคนม หนองโพ ราชบุรี จึงนำผลงานวิจัยประโยชน์ของการเพิ่ม DHA ในนมมาผลิตเป็นนมโรงเรียนโดยไม่เพิ่มราคา
โดย DHA มีมากในปลาและอาหารทะเลมีการวิจัยในต่างประเทศจำนวนมากที่แสดงให้เห็นความสำคัญของ DHA ในการพัฒนาการของเด็กทารก แต่ไม่มีการนำเสนอข้อมูลวิจัยที่เกี่ยวกับประโยชน์ของ DHA ในเด็กวัยเรียน คณะผู้วิจัยจากคณะวิทยาศาสตร์ ม.ศิลปากร จึงได้ทำการเติม DHAลงในน้ำนม และให้เด็กดื่มตลอดภาคการศึกษา และพบว่า DHA ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ทำให้เด็กลดระยะเวลาในการป่วยและขาดเรียนลงอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งนี้ งานวิจัยดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าเมื่อเสริม DHA ให้เด็กชั้นประถมศึกษาในปริมาณ 100 มิลลิกรัมทุกวันตลอดภาคการศึกษา เด็กจะมีระยะเวลาในการป่วยและขาดเรียนลดลง 10% และในกลุ่มที่ได้รับเพิ่มขึ้นไปถึง 1000 มิลลิกรัม ก็จะลดลงถึง 30%เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มของเด็กในวัยเดียวกันและมีสิ่งแวดล้อมเดียวกันแต่ไม่ได้รับสารดังกล่าว ซึ่งงานวิจัยนี้ได้เริ่มทำการศึกษาในโรงเรียนระดับประถมศึกษาในเขต จ.ราชบุรี และนครปฐมมาตั้งแต่ปี 2543
พร้อมกันนี้ ดร.อริศร์ อธิบายว่า DHA จัดเป็นสารที่มีอยู่ในอาหารตามธรรมชาติ ซึ่งมนุษย์ได้รับอยู่เสมอเมื่อบริโภคปลาและอาหารทะเล โดยชาวญี่ปุ่นได้รับ DHA จากอาหารที่บริโภค ประมาณวันละ 1000 มิลลิกรัม อาหารชนิดอื่น เช่น ไข่ ก็มี DHA อยู่บ้างแต่ไม่มาก สำหรับคนไทยเราอาจได้รับ DHA ไม่มากเนื่องจากพฤติกรรมการบริโภคของคนไทย นิยมรับประทานปลาทอด มากกว่าปลาดิบ หรือปลานึ่ง ซึ่งการใช้ความร้อนสูงมากๆในการปรุงอาหาร จะเป็นตัวสำคัญในการทำลาย DHA ที่มีอยู่ในอาหาร
“ในโครงการของเราพยายามจะวิจัยว่า ปริมาณเท่าไหร่ที่น่าจะเกิดผล ซึ่งจากการวิจัยพบว่า DHA ทำให้เด็กมีการเจ็บป่วยที่ลดลง การหยุดเรียนจากการเจ็บป่วยน้อยลง แต่ในแง่สติปัญญาหรือในแง่สมองเราพยายามทำ โดยมีการผลิตซอฟท์แวร์และให้นักจิตวิทยาเข้าไปดู แต่ไม่เกิดผลชัดเจน นี่คือเหตุผลที่อยากทำวิจัยนี้ เพราะในปัจจุบันมีการโฆษณาที่เกินจริงอยู่มาก เพราะผู้โฆษณาอาจนำเอาข้อมูลในเด็กทารกมาใช้ในเด็กโต ซึ่งในความเป็นจริงเด็กทั้งสองวัย มีระบบร่างกายและพัฒนาการที่แตกต่างกัน ดังนั้น งานวิจัยนี้จึงน่าจะไปเสริมช่องว่างที่ขาดอยู่ได้” ดร.อริศร์ กล่าว
นับเป็นอีกโครงการหนึ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่เยาวชนไทยอย่างสร้างสรรค์ ในอันที่จะมีส่วนช่วยให้เด็กไทยมีสุขภาพที่แข็งแรง ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดระยะเวลาในการป่วยและขาดเรียนลงได้