“ไข่มุก” เป็นสิ่งที่ให้ความสวยงามและมีคุณค่า แต่กว่าจะผลิตออกมาได้ทีละเม็ด จำต้องใช้ระยะเวลาเป็นปีๆ และมีขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน แต่ที่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี สามารถทำได้ แถมใจดีเปิดบ้านให้ได้เยี่ยมชมการเพาะเลี้ยงไข่มุกน้ำจืด เพื่อให้เห็นถึงขั้นตอนการเลี้ยง ฝัง และผลิตไข่มุกว่า ทำกันอย่างไร?
รศ.ดร.อุทัยวรรณ โกวิทวที และคณะวิจัย จากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยาและกรมประมง ได้นำศาสตราจารย์อานนท์ บุณยะรัตเวช เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ นายชุติพงศ์ ว่องส่งสาร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัย และพัฒนาประมงน้ำจืด กรมประมง จ.กาญจนบุรี และคณะสื่อมวลชน เข้าเยี่ยมชม “การพัฒนาเพาะเลี้ยงไข่มุกน้ำจืดในประเทศไทย” ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี โดยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
รศ.ดร.อุทัยวรรณ กล่าวถึงการเพาะเลี้ยงไข่มุกน้ำจืดว่า ได้แบ่งออกเป็น 3 โครงการย่อย ได้แก่ โครงการวิจัยย่อยที่ 1 การคัดเลือกหอยกาบน้ำจืดวงศ์ Amblemidae ในประเทศไทย เพื่อใช้ในการเพาะเลี้ยงไข่มุกน้ำจืด โดยคณะผู้วิจัยได้สำรวจหอบกาบน้ำจืดบริเวณลุ่มน้ำแม่กลอง ลุ่มน้ำเจ้าพระยา และลุ่มน้ำมูล จากนั้นเปรียบเทียบภาชนะเลี้ยงที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและอัตราการตายของหอยน้ำจืด โดยนำหอยกาบน้ำจืดที่ผ่านการพิจารณาเพื่อนำมาเพาะเลี้ยงไข่มุกของแต่ละลุ่มน้ำมาทดลองเลี้ยงในภาชนะ 3 รูปแบบ คือ ภาชนะเลี้ยงแบบกระเป๋าตาข่าย แบบกลมตาข่าย และแบบกลมตาข่ายด้านล่าง โดยเลี้ยงเป็นเวลานาน 3 เดือน
โครงการวิจัยย่อยที่ 2 คณะผู้วิจัยได้ทำการศึกษาศักยภาพการผลิตไข่มุกจากหอบกาบน้ำจืดวงศ์ Amblemidae ในประเทศไทย โดยนำหอยกาบน้ำจืดที่ได้จากการสำรวจ และคัดเลือกไว้ของโครงการย่อยที่ 1 มาทำการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อเพื่อผลิตไข่มุกแบบไม่มีแกนและเลี้ยงไว้เป็นเวลา 1 ปี ( ตั้งแต่มิถุนายน 2546 –มิถุนายน 2547 ) เพื่อทำการศึกษาศักยภาพการผลิตไข่มุกของหอบกาบน้ำจืดแต่ละชนิดที่นำมาทดลองเลี้ยง ซึ่งผลการศึกษาจะทำให้ทราบข้อมูลของชนิดหอยกาบที่มีความเหมาะสมต่อการเพาะเลี้ยงให้แก่เกษตรกร และสามารถพัฒนาการใช้แหล่งน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ส่วนโครงการวิจับย่อยที่3 จะทำการวิเคราะห์องค์ประกอบของเปลือกหอยและไข่มุกที่ได้จากหอยกาบน้ำจืดวงศ์ Amblemidae ในประเทศไทย จะศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณของธาตุในไข่มุกและเปลือกหอย และศึกษาคุณลักษณะทางกายภาพและสมบัติทางเคมีของไข่มุกที่เกิดจากหอยกาบในแหล่งน้ำจืดภาคต่างๆของประเทศไทย และเปรียบเทียบกับไข่มุกน้ำจืดจากแหล่งอื่นๆ เพื่อเป็นแนวทางในการผลิตเชิงพาณิชย์
สำหรับขั้นตอนในการเพาะเลี้ยงจนกระทั่งทำการฝังมุกในหอยกาบนั้น อาจารย์อรภา นาคจินดา สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรกรมประมงน้ำจืด กรมประมง อธิบายว่า เมื่อหอยกาบออกลูก ลูกหอยกาบจะไปเกาะตามครีบและเหงือกของปลา เพื่ออาศัยดูดกินเลือดเป็นอาหาร โดยที่หอยแต่ละชนิดจะเลือกเกาะปลาเฉพาะที่ไม่เหมือนกัน โดยอาศัยประมาณ 7- 10 วัน เมื่อลูกหอยเจริญเติบโตขึ้นก็จะร่วงออกจากตัวปลาเป็นอิสระ หลังจากนั้นจึงนำลูกหอยมาอนุบาลในกระบะดินประมาณ 5-6 เดือน เพื่อให้มีขนาดใหญ่ขึ้น แล้วจึงทำการฝังมุก โดยการปลูกถ่ายเอาเนื้อเยื่อที่สร้างสารผลิตเปลือกขั้นมุกมากที่สุด มาใส่บนพื้นที่กำหนดให้ในหอยกาบ แล้วจึงนำใส่ตะกร้าแขวนไว้ในน้ำประมาณ 2 ปี จึงจะได้ไข่มุก โดยหอยกาบจะกินแพลงตอนในน้ำเป็นอาหาร
“ ข้อควรระวังในการเพาะเลี้ยงไข่มุกน้ำจืดคือ การไม่ให้ตะไคร่น้ำมาอุดตัน จึงต้องทำความสะอาดตะกร้าบ่อยๆ และระวังไม่ให้ทราย หรือสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในเปลือกหอย เพราะจะทำให้ได้ไข่มุกช้า และอาจเกิดความเสียหายได้ โดยหอยกาบ 1 ตัว สามารถฝังมุกได้ประมาณ 20-30 เม็ด อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ การจับปลาอย่างผิดกฎหมายของชาวบ้าน โดยการใช้ระเบิดก็ทำให้หอยตายเป็นจำนวนมาก และอาจจะสูญพันธุ์ได้เร็วขึ้น” อาจารย์อรภากล่าว
อาจารย์อรภา ยังบอกด้วยว่า ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดกาญจนบุรี เป็นที่แรกและที่เดียวในประเทศไทยที่มีการเพาะเลี้ยงไข่มุกน้ำจืดในประเทศไทย อย่างไรก็ดี ไม่ได้มุ่งเน้นผลิตไข่มุกขายแข่งประเทศจีน เนื่องจากในด้านเทคโนโลยีการผลิต วัตถุดิบ และงบประมาณการสนับสนุนนั้นสู้ไม่ได้ จึงหันมามุ่งเน้นการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ โดยเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดกาญจนบุรี เพื่อเรียนวิธีการผลิตไข่มุกน้ำจืด ตลอดจนจำหน่ายเครื่องประดับที่ทำจากไข่มุกให้นักท่องเที่ยวซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านอีกด้วย
นับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งในเมืองไทยที่น่าสนใจ เพราะนอกจากจะได้ทั้งความรู้ ได้ยลโฉมความสวยงามตามธรรมชาติแล้ว ยังได้ของฝากติดมือกลับบ้านอีกด้วย ใครที่สนใจรายละเอียดสามารถเข้าไปดูได้ที่ www.nrct.net
คลิกที่ไอคอน Manager Multimedia
เพื่อรับชมภาพเพิ่มเติม
