สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)จัดเสวนาเรื่อง “การบูรณาการอุตสาหกรรมสบู่ดำชุมชนเพื่อเศรษฐกิจพอเพียง” นักวิชาการชี้ เมล็ดสบู่ดำผลิตน้ำมันอย่างเดียวไม่คุ้มค่า เพราะผลผลิตน้อย ควรนำมาสร้างมูลค่าเพิ่มด้านอื่น อาทิ ลำต้นใช้ทำเยื่อประดาษ ใบทำเป็นน้ำหมักชีวภาพใช้กำจัดแมลงและใช้เลี้ยงไหมป่า ฯลฯ ด้านกระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าหนุนปลูกต้นสบู่ดำ 20,000 กลุ่ม หวังลดการนำเข้าดีเซลต่างประเทศถึง 100 ล้านลิตร ในปีนี้
วานนี้(1 เม.ย.)ในการประชุมประจำปี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้หัวข้อ:สู่เศรษฐกิจพอเพียงด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้มีการเสวนาเรื่อง “การบูรณาการอุตสาหกรรมสบู่ดำชุมชนเพื่อเศรษฐกิจพอเพียง” โดยมี ผอ.ดาเรศร์ กิตติโยภาศ ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมวิศวกรรมการเกษตร กรมสงเสริมการเกษตร ดร.สมบัติ ชิณะวงศ์ คณบดีคณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ร่วมเสวนา
ผอ.ดาเรศร์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาบางคนอาจเข้าใจว่าน้ำมันสบู่ดำสามารถใช้ได้เฉพาะเครื่องยนต์รอบต่ำเท่านั้น ทั้งที่สามารถใช้กับเครื่องยนต์รอบปานกลางได้ โดยกรมสงเสริมการเกษตร ได้ทำการปลูก การผลิตและทดสอบใช้งาน โดยมีเป้าหมายให้กลุ่มเกษตรกรทำการปลูกต้นสบู่ดำและผลิตเป็นน้ำมันใช้ในครัวเรือน ซึ่งในปีนี้จะดำเนินการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกต้นสบู่ดำ 20,000 กลุ่ม กลุ่มละ 20,000 ต้น โดยจะช่วยลดการนำเข้าน้ำมันดีเซลจากต่างประเทศประมาณ 100 ล้านลิตร เป็นจำนวนเงิน 2,200 ล้านบาท ปี 2550 จะเพิ่มอีก 30,000 กลุ่ม เป็น 50,000 กลุ่ม และปี 2551 จะปลูกเพิ่มอีก 30,000 กลุ่ม ซึ่งจะช่วยลดการนำเข้าน้ำมันดีเซลจากต่างประเทศได้ถึง 8,800 ล้านบาท อย่างไรก็ดี สิ่งที่เป็นปัญหาสำคัญขณะนี้ ยังคงเป็นการขาดแคลนงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาล
ด้านดร.สมบัติ กล่าวว่า ในปี 2546 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ได้เริ่มปลูกต้นสบู่ดำในเชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรก พบว่าหากนำเมล็ดสบู่ดำมาผลิตเป็นน้ำมันอย่างเดียวจะไม่คุ้มค่า เพราะให้ผลผลิตน้อย จึงควรนำมาใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากเป็นพืชที่มีประโยชน์มาก เช่น ลำต้นใช้ทำเยื่อประดาษ และใบสามารถนำไปทำเป็นน้ำหมักชีวภาพใช้กำจัดแมลงและใช้เลี้ยงไหมป่าได้ นอกจากนี้ยังพบว่า สารสกัดจากทุกส่วนของต้นสบู่ดำมีฤทธิ์ฆ่าแมลง สามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็นสารป้องกันและปราบศัตรูพืช ส่วนเปลือกต้นสบู่ดำก็ยังนำมาอัดเป็นแท่งเพื่อเป็นเชื้อเพลิงได้อีกด้วย
“ต้นสบู่ดำมีประโยชน์ในด้านอื่นๆอีกมาก จึงควรนำมาบูรณาการจากทุกส่วน ไม่ควรตั้งข้อจำกัดในการปลูก เนื่องจากในแต่ละชุมชนมีความพร้อมไม่เหมือนกัน นอกจากนี้หากเกษตรกรจะปลูกต้นสบู่ดำก็ควรมีโรงงานไว้สำหรับผลิตน้ำมันใช้เอง ไม่ควรปลูกและนำเมล็ดไปขายให้ผู้ผลิต เพราะจะได้ผลตอบแทนน้อยไม่คุ้มค่า”ดร.สมบัติ กล่าว
วานนี้(1 เม.ย.)ในการประชุมประจำปี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้หัวข้อ:สู่เศรษฐกิจพอเพียงด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้มีการเสวนาเรื่อง “การบูรณาการอุตสาหกรรมสบู่ดำชุมชนเพื่อเศรษฐกิจพอเพียง” โดยมี ผอ.ดาเรศร์ กิตติโยภาศ ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมวิศวกรรมการเกษตร กรมสงเสริมการเกษตร ดร.สมบัติ ชิณะวงศ์ คณบดีคณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ร่วมเสวนา
ผอ.ดาเรศร์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาบางคนอาจเข้าใจว่าน้ำมันสบู่ดำสามารถใช้ได้เฉพาะเครื่องยนต์รอบต่ำเท่านั้น ทั้งที่สามารถใช้กับเครื่องยนต์รอบปานกลางได้ โดยกรมสงเสริมการเกษตร ได้ทำการปลูก การผลิตและทดสอบใช้งาน โดยมีเป้าหมายให้กลุ่มเกษตรกรทำการปลูกต้นสบู่ดำและผลิตเป็นน้ำมันใช้ในครัวเรือน ซึ่งในปีนี้จะดำเนินการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกต้นสบู่ดำ 20,000 กลุ่ม กลุ่มละ 20,000 ต้น โดยจะช่วยลดการนำเข้าน้ำมันดีเซลจากต่างประเทศประมาณ 100 ล้านลิตร เป็นจำนวนเงิน 2,200 ล้านบาท ปี 2550 จะเพิ่มอีก 30,000 กลุ่ม เป็น 50,000 กลุ่ม และปี 2551 จะปลูกเพิ่มอีก 30,000 กลุ่ม ซึ่งจะช่วยลดการนำเข้าน้ำมันดีเซลจากต่างประเทศได้ถึง 8,800 ล้านบาท อย่างไรก็ดี สิ่งที่เป็นปัญหาสำคัญขณะนี้ ยังคงเป็นการขาดแคลนงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาล
ด้านดร.สมบัติ กล่าวว่า ในปี 2546 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ได้เริ่มปลูกต้นสบู่ดำในเชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรก พบว่าหากนำเมล็ดสบู่ดำมาผลิตเป็นน้ำมันอย่างเดียวจะไม่คุ้มค่า เพราะให้ผลผลิตน้อย จึงควรนำมาใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากเป็นพืชที่มีประโยชน์มาก เช่น ลำต้นใช้ทำเยื่อประดาษ และใบสามารถนำไปทำเป็นน้ำหมักชีวภาพใช้กำจัดแมลงและใช้เลี้ยงไหมป่าได้ นอกจากนี้ยังพบว่า สารสกัดจากทุกส่วนของต้นสบู่ดำมีฤทธิ์ฆ่าแมลง สามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็นสารป้องกันและปราบศัตรูพืช ส่วนเปลือกต้นสบู่ดำก็ยังนำมาอัดเป็นแท่งเพื่อเป็นเชื้อเพลิงได้อีกด้วย
“ต้นสบู่ดำมีประโยชน์ในด้านอื่นๆอีกมาก จึงควรนำมาบูรณาการจากทุกส่วน ไม่ควรตั้งข้อจำกัดในการปลูก เนื่องจากในแต่ละชุมชนมีความพร้อมไม่เหมือนกัน นอกจากนี้หากเกษตรกรจะปลูกต้นสบู่ดำก็ควรมีโรงงานไว้สำหรับผลิตน้ำมันใช้เอง ไม่ควรปลูกและนำเมล็ดไปขายให้ผู้ผลิต เพราะจะได้ผลตอบแทนน้อยไม่คุ้มค่า”ดร.สมบัติ กล่าว