ก่อนที่ค่ำคืนสุดท้ายแห่งปี 2548 จะผ่านพ้นเราไปอย่างไม่หวนกลับ พร้อมๆ กับสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ผ่านหูผ่านตาเราไปอย่างมากมาย...
เอาล่ะ!!! เราลองมามองย้อนหลังร่วมกันซิว่า ในรอบ 365 วันที่กำลังจะผ่านพ้นไปนี้ ภายใต้ฟากฟ้าเมืองไทยและด้วยฝีมือของคนไทยนี้ เรามีนวัตกรรมชิ้นใดที่ผ่านเข้ามาในการรับรู้ของเราบ้าง และแน่นอนว่านวัตกรรมชิ้นนั้นต้องเป็นนวัตกรรม “สุดแจ่ม” ที่เราได้คัดสรรมาเป็นอย่างดีแล้ว
ทั้งนี้ 1 สัปดาห์ก่อนสิ้นปี “ผู้จัดการวิทยาศาสตร์” ได้ประชุมโต๊ะกลมอย่างเคร่งเครียด เพื่อสรรหานวัตกรรม “สุดแจ่ม” และ “สุดประทับใจ” ของทีมข่าวแต่ละคน โดยหลังจากผ่านการกลั่นกรองและตกผลึกมาร่วมนานนับสัปดาห์ข่าวนวัตกรรมทั้ง 6 ชิ้นพร้อมกับความประทับใจที่ทีมข่าวอยากเล่าก็ได้ปรากฏแก่สายตาผู้อ่าน ณ บัดนี้…
1.“ฟิล์มใสกันร้อน” ผลงานนักวิจัยไทยคว้า "ยูเรกา" รางวัลนวัตกรรมระดับโลก
“ฟิล์มใสกันร้อน” ผลงานของ ดร.รุ้งนภา ทองพูล, ดร.จิตติพร เครือเนตร และนายปรีชา คงรัตน์ นักวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ซึ่งได้ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างสรรค์ผลงานออกมา โดยให้ชื่อว่า “ฟิล์มใสดัดได้ ลดการผ่านของรังสีอัลตราไวโอเลตและรังสีอินฟราเรด” ซึ่งเมื่อนำไปประกวดยังเวทีต่างๆ แล้ว ก็สามารถคว้าเหรียญเงินจากงาน “บรัสเซลล์ยูเรกา 2004” (Brussels Eureka! 2004) ณ กรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยี่ยม และรางวัลชมเชยจากสำนักงานคณะกรรมวิจัยแห่งชาติ (วช.) ประจำปี พ.ศ.2548 ในการประกวดภายในประเทศมาอีกด้วย
ทีมข่าวได้ไปพบผลงานดังกล่าวใน “งานวันนักประดิษฐ์” ของ วช. ซึ่งจัดขึ้นช่วงต้นปีขณะที่เรากำลังสรรหางานวิจัยที่น่าสนใจมานำเสนอแก่ผู้อ่านอยู่พอดี โดยสิ่งที่ทำให้ทีมข่าวสนใจผลงานชิ้นนี้ไม่ใช่เพียงเพราะได้รับรางวัลระดับโลกเท่านั้น หากแต่ “ฟิล์มใสกันร้อน” ยังเป็นผลงานของคนไทยที่ช่วยลดการนำเข้าฟิล์มกันร้อนจากต่างประเทศได้ด้วย อีกทั้งประสิทธิภาพในการกันรังสียูวียังมีมากกว่าและราคายังถูกกว่าของต่างประเทศกว่า 10 เท่า นอกจากนั้น เมื่อไม่นานมานี้ทีมงานยังได้ทราบข้อมูลจากนักวิจัยว่า พวกเขาสามารถพัฒนาฟิล์มให้สามารถขึ้นรูปเป็นแผ่นแทนการทาฟิล์มประกบแผ่นพลาสติกได้แล้ว !!!
2.ไม่ใช้น้ำมันแค่ปั่นก็ตัดหญ้า จักรยานไอเดียนักเรียนประถม
“จักรยานตัดหญ้า” เป็นผลงานของนักเรียนประถมจากเมืองย่าโมที่มีใจประหยัดพลังงาน เกิดขึ้นมาจากการนำจักรยานเก่าที่ไม่ใช้แล้วมาติดใบมีด ซึ่งเมื่อปั่นจักรยานแล้วจะทำให้ใบมีดหมุนและตัดหญ้าได้ โดยทีมเจ้าหนูคนเก่งของทีมข่าว ซึ่งเป็นเจ้าของผลงานนี้ได้แก่ ด.ช.จรัส ต้นยาง ด.ช.สิริพงษ์ ศิริทรัพย์ และ ด.ช.ยุทธการ แผนโคกสูง นักเรียนโรงเรียนอนุบาลตลาดแค จ.นครราชสีมา
สำหรับสิ่งประดิษฐ์ของยุวนักประดิษฐ์เล็กพริกขี้หนูนี้ น้องๆ ทั้ง 3 ได้นำผลงานมาแสดงในงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติเพื่อเยาวชน ณ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ก่อนที่จะนำไปอวดอีกครั้งในงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ระดับชาติที่อิมแพค เมืองทองธานีเมื่อช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ระหว่างเข้าไปพูดคุยกับน้องๆ อาจจะด้วยความเป็นเด็กที่ไม่ชอบอยู่นิ่ง
ทีมข่าวสังเกตว่าน้องๆ มีอาการเบื่อเล็กน้อยที่ต้องพูดเรื่องเดิมซ้ำๆ แต่ถึงอย่างนั้นน้องๆ ก็พยายามสาธิตให้เห็นการทำงานของใบมีดด้วยการจูงจักรยานไป-มา ผลงานชิ้นนี้จึงทำให้เราเห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ของเด็กๆ ที่รู้จักประยุกต์ใช้สิ่งที่มีอยู่ใกล้ตัวเพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ใหญ่หลายคนอาจลืมที่จะคิด
3. หมวกกันน็อกไฮเทค ไม่สวมหัว สตาร์ทไม่ติด !
“หมวกกันน็อกไฮเทค” เป็นนวัตกรรมที่ติด 1 ใน 10 ของผลงานที่ผ่านเข้ารอบระดับภูมิภาคในโครงการรางวัลนวัตกรรมแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 5 ประเภทสร้างเสริมสุขภาพ โดยเป็นผลงานการลงแรงลงใจของ 2 หนุ่มชั้นปี 2 คณะอิเล็กทรอนิกส์โทรคมนาคม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ วิทยาเขตนนทบุรีได้แก่ นายสุนทร ฉิมม่วง และนายพรชัย ลีแอล ซึ่งมีแนวคิดว่า ปัจจุบันอัตราการเสียชีวิตของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ตามท้องถนนมักมีสาเหตุจากการไม่สวมหมวกกันน็อก ดังนั้น จะทำอย่างไรให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ต้องสวมหมวกกันน็อกทุกครั้งขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ ซึ่งจะมีประโยชน์ทั้งช่วยลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุ และช่วยป้องกันการขโมยรถจักรยานยนต์ได้อีกด้วย เพราะหากไม่มีหมวกกันน็อกก็สตาร์ทรถไม่ได้
ส่วนเหตุผลที่ทีมข่าวหยิบยกนวัตกรรมนี้ขึ้นมา ก็เพราะเป็นผลงานที่มีความคิดแปลกแหวกแนว และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้จริง แม้ว่าหากพิจารณาเกี่ยวกับการใช้งาน อาจมีข้อจำกัดเล็กๆน้อยๆ แต่ถือว่าสามารถปรับปรุงพัฒนาให้เหมาะแก่การใช้งานได้ในอนาคต เป็นแนวคิดที่น่าสนใจ และมีประโยชน์ต่อผู้ขับขี่ยานพาหนะ โดยเฉพาะบรรดานักซิ่งรถจักรยานยนต์ที่ชอบลืมหมวกกันน็อกทั้งหลาย
4. “แป้งข้าวเจ้าดัดแปรเพิ่มปริมาณยาเม็ด” สุดยอดนวัตกรรมเพิ่มคุณค่าทางเศรษฐกิจ
สำหรับนวัตกรรม “แป้งข้าวเจ้าดัดแปรเพื่อใช้เป็นสารเพิ่มปริมาณยาเม็ด” นี้เป็นผลงานของ ดร.วราทัศน์ วงศ์สุรไกร กรรมการบริหารบริษัท เอราวัณฟาร์มาซูติคอล รีเซิช แอนด์ ลาบอราตอรี่ จำกัด เป็นผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ประเภทรางวัลนวัตกรรมทางด้านเศรษฐกิจในโครงการการประกวดรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2548 ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) โดยถือเป็นการนำวัตถุดิบในประเทศมาแปรรูปให้เกิดประโยชน์ต่อวงการแพทย์ เป็นภูมิปัญญาที่น่าชื่นชมของคนไทยอย่างที่ต่างประเทศยังคิดไม่ถึงที่จะนำเอาแป้งข้าวเจ้ามาเป็นส่วนประกอบในสารเพิ่มปริมาณยาเม็ด ซึ่งจะทำให้เม็ดยามีความแข็งแรง ไม่กร่อนง่าย แต่มีความสามารถละลายได้ดีเยี่ยม
ทีมข่าวเห็นว่า “แป้งข้าวเจ้าดัดแปรเพื่อใช้เป็นสารเพิ่มปริมาณยาเม็ด” มีความโดดเด่นในการนำภูมิปัญญามาใช้อย่างเหมาะสม โดยในตอนแรก ทีมข่าวก็ไม่ได้รู้สึกสนใจอะไรกับนวัตกรรมชิ้นนี้ เพราะคิดว่าเป็นนวัตกรรมยาธรรมดา แต่เมื่อได้รับทราบข้อมูลจากผู้คิดค้นและเห็นการทดสอบเม็ดยาด้วยตนเอง ก็รู้สึกทึ่งในภูมิปัญญาของคนไทย และเห็นว่าเป็นนวัตกรรมที่เกิดประโยชน์ต่อผู้ป่วยจริงๆ อีกทั้งเป็นการใช้วัตถุดิบในประเทศให้เกิดคุณค่า ลดการนำเข้า และเพิ่มมูลค่าให้กับข้าวเจ้าไทยอีกด้วย
5. “ขาเทียมจากถุงน่องใช้แล้ว” สุดยอดนวัตกรรมลดช่องว่างทางสังคม
“ขาเทียมจากถุงน่องใช้แล้ว” เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่เข้าป้ายได้รับรางวัลนวัตกรรมจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) ด้านสังคม ประจำปี 2548 มีเจ้าของผลงานคือนายสว่าง เตียวโล่ นักกายอุปกรณ์จากโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ จ.นราธิวาส โดยนวัตกรรมดังกล่าวถือเป็นประโยชน์มากต่อผู้ด้อยโอกาสในสังคมซึ่งมักถูกละเลยเสมอมา เพราะเงินทำขาเทียมข้างละ 1,350 บาทสำหรับคนทั่วไปแล้ว ย่อมถือว่าน้อยนิด จับจ่ายนิดหน่อยก็หมดแล้ว อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ด้อยโอกาสแล้ว เงินจำนวนนี้กลับเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตเยี่ยงคนปกติอย่างน่าสังเวช แต่หากมีการประยุกต์ของเหลือใช้มาทำขาเทียมแล้ว ต้นทุนการทำขาเทียมจะลดลงเหลือเพียงข้างละ 75 บาทเท่านั้น
ทั้งนี้ ระหว่างการพูดคุยกับนายสว่างนั้น ทีมข่าวได้ซึมซับความรู้สึกดีๆ ที่เขามีต่อเพื่อนร่วมสังคมด้วยกัน หากจำกันได้ นายสว่าง กล่าวว่า งานดังกล่าวเป็นหน้าที่ของเขาที่เขาต้องทำอยู่แล้ว ซึ่งโรงพยาบาลก็ไม่ได้เก็บค่าใช้จ่ายอะไรจากผู้ป่วย นอกจากนั้น ผู้อ่านข่าวชิ้นนี้ก็มีเสียงตอบรับที่ดีมาก และมีการเสนอความช่วยเหลือตามแต่กำลัง เป็นข่าวที่ผู้อ่านโพสต์แต่สิ่งดีๆ มาแบ่งปันกันอ่านในหน้าเว็บของเรา ซึ่งเรายินดีเป็นที่สุด เห็นได้ชัดว่า เรื่องไหนที่สามารถช่วยเหลือกันได้ คนไทยจะไม่ทิ้งกัน
6. "เครื่องกรีดยางพาราไฟฟ้า” จากบ้านถึงผลงานสร้างสรรค์
“เครื่องกรีดยางพาราไฟฟ้า” ถือเป็นผลงานชิ้นหนึ่งของลูกหลานคนไทยที่เป็นไทยจริงๆ เพราะสามารถสนองความต้องการจำเป็นของประเทศไทยได้อย่างดิบดี โดย “น้องหนึ่ง” หรือ นายปรัชญกร เฉลิมพงศ์ นักศึกษาชั้นปี 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เจ้าของผลงานบอกกับทีมข่าวว่า ที่ประดิษฐ์เพราะพื้นเพของคนสุราษฎร์ธานี บ้านเกิดของน้องหนึ่งนั้นเป็นชาวสวนยาง จึงได้เห็นการกรีดยางมาแต่อ้อนแต่ออก และเป็นแรงบันดาลใจให้สร้างสรรค์ผลงานขึ้น แย้งกับภาษิตฝรั่งที่ว่า “คนเรามักเห็นหญ้าบ้านคนอื่นสีเขียวกว่าหญ้าในรั้วบ้านตัวเอง” ได้อย่างเหมาะเจาะ น้องหนึ่งจึงเป็นช้างเผือกที่เราควรรักษาไว้ นอกจากนั้น น้องหนึ่งยังเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ให้เห็นว่าครอบครัวที่เข้มแข็งก่อกำเนิดลูกหลานที่เก่งกล้าได้อย่างชัดเจน
ด้านประโยชน์ใช้สอยของเครื่องกรีดยางพาราไฟฟ้าก็ใช้ย่อย เพราะเครื่องกรีดยางนี้สามารถกรีดยางพาราได้เร็วกว่าแรงงานคนมาก คือประมาณ 10 ไร่ต่อชั่วโมง อีกทั้งยังขจัดปัญหาด้านความชำนาญของผู้กรีดยางให้หมดไป จึงเป็นการยืดอายุต้นยางไปในตัว เพราะหน้ายางจะไม่เสีย และที่สำคัญ มีข่าวล่าสุดที่ทีมข่าวได้ทราบมาคือ เครื่องกรีดยางพาราไฟฟ้าของน้องหนึ่งสามารถคว้ารางวัลรองชนะเลิศ ประเภทสิ่งประดิษฐ์ความคิดสร้างสรรค์จากเวที “คนเก่ง ไทยแกร่ง” ของกลุ่มชินคอร์ปฯ มาได้อีกด้วย…
เหล่านี้ คือนวัตกรรมสุดแจ่มที่ “ผู้จัดการวิทยาศาสตร์” ภูมิใจนำเสนอ อย่างไรก็ดี หลังจากที่ได้ทราบทั่วกันแล้วว่า 6 นวัตกรรมสุดแจ่มได้แก่อะไรบ้าง ก็ถึงคราวของท่านผู้อ่าน ลองแนะนำนวัตกรรมสุดแจ่มในดวงใจ ทั้งที่เคยอ่านผ่านตาจากหน้าวิทยาศาสตร์แห่งนี้ หรือจะแนะนำนวัตกรรมดีๆ ที่เรายังเข้าไปหาไม่ถึง ค้นไม่พบ เพื่อเป็นวิทยาทานแก่เราในปีจอที่กำลังจะมาถึง ^^
“ผู้จัดการวิทยาศาสตร์” ขออวยพรให้ปีหน้าและปีต่อๆ ไป คนไทยยังคงมุ่งมั่นและสามารถประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรมดีๆ มาใช้ประโยชน์กับประเทศไทยได้อีก อย่างน้อยๆ ก็ทำให้เรามีนวัตกรรมเด็ดๆ มานำเสนอสู่สาธารณะกันต่อในปีต่อไป...