สกว.จับมือพันธมิตร ชวนเอกชนสร้างภาคี เตรียมรับมือผลกระทบจากการออกกฎระเบียบว่าด้วยสารเคมีของอียู นักวิชาการชี้กฎดังกล่าวเป็นความหวังดีแต่ประสงค์ร้าย แขวะ “กีดกันทางการค้า” เผยผู้ประกอบการยังไม่ให้ความสำคัญเท่าที่ควร
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ร่วมกับหน่วยข้อสนเทศวัตถุอันตรายและความปลอดภัย ศูนย์วิจัยแห่งชาติด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและของเสียอันตราย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดการประชุมสัมมนา “ข้อมูลสารเคมี: ใบเบิกทางการค้าสากล” เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ณ โรงแรมเอเชีย กรุงเทพฯ โดยมีผู้ประกอบการเอกชนและตัวแทนหน่วยงานภาครัฐเข้าร่วมฟังการบรรยายกว่า 200 คน
รศ.ดร.วราพรรณ ด่านอุตรา หัวหน้าหน่วยข้อสนเทศวัตถุอันตรายและและความปลอดภัยฯ กล่าวบรรยายถึงสถานภาพของนโยบายสารเคมีของสหภาพยุโรป (อียู) หรือ Registration Evaluation and Authorization of Chemicals (Reach) ว่า อียูได้เริ่มออกกฎระเบียบว่าด้วยการใช้สารเคมีขึ้นเมื่อหลายปีก่อน และคาดว่าจะบังคับใช้จริงในปี 2551 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดูแลผลกระทบความปลอดภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมจากการใช้สารเคมีในขั้นตอนการผลิตสินค้า
“การพิจารณารอบแรกมีสารเคมีที่ต้องจดทะเบียนประมาณ 30,000 พิกัด (ชนิด) แต่เมื่อมีการพิจารณาครั้งหลังได้ผ่อนปรนให้เหลือที่ต้องจดทะเบียนเพียง 10,000 กว่าพิกัด ประเทศไทยมีการนำเข้าสารเคมีกว่า 1,000 พิกัด ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ มากบ้างน้อยบ้าง ซึ่งกฎระเบียบนี้จะมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและการส่งออกของผู้ประกอบการไทยไม่ทางใดก็ทางหนึ่งในขั้นตอนการผลิตและกระจายสินค้า นับตั้งแต่การนำเข้าสารเคมี การผลิตสินค้า การส่งสินค้าไปจำหน่ายยังอียู รวมถึงผู้บริโภค กล่าวคือทุกคนที่เกี่ยวข้องกับสารเคมี”
ด้านผลกระทบที่ประเทศไทยจะได้รับจากกฎระเบียบดังกล่าว รศ.ดร.วราพรรณ กล่าวว่า จะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายในการจัดทำข้อมูลสารเคมีและการแต่งตั้งผู้แทนเพื่อจดทะเบียนซึ่งผู้ประกอบการจะจดทะเบียนเองไม่ได้, สารเคมีราคาแพงขึ้น และอาจเกิดภาวะสารเคมีขาดตลาด นอกจากนี้ยังอาจทำให้ความลับทางการค้าของผู้ประกอบการรั่วไหลในขั้นตอนการจดทะเบียนได้ ทั้งนี้หากละเลยกฎระเบียบดังกล่าวอาจส่งผลให้สินค้าของไทยขายไม่ได้และถูกส่งกลับประเทศ ทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ
นายเชวง จาว เลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมเคมี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย แสดงความคิดเห็นว่า กฎระเบียบดังกล่าวมีความยุ่งยากซับซ้อนมากเกินไป และยังเป็นที่รับรู้กันน้อยแม้ในอียูเอง อาจเรียกได้ว่าเป็นความหวังดีแต่ประสงค์ร้าย เนื่องจากเป็นกฎระเบียบที่มีวัตถุประสงค์ที่ดี แต่หากมองในอีกแง่หนึ่งอาจเป็นการกีดกันทางการค้าอย่างหนึ่งได้เช่นกัน ในการที่อียูจะนำไปใช้กับประเทศเล็กๆ รวมทั้งประเทศไทย “ถ้าเราไม่สามารถสร้างมาตรฐานของเราเองได้ เราก็จะต้องถูกบังคับให้ใช้มาตรฐานของต่างประเทศอยู่เรื่อยไป”
ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อกฎระเบียบดังกล่าวมีขึ้นแล้วก็ทำให้ผู้ประกอบการต่างๆ ต้องมีความรู้เท่าทันและเตรียมตัวเพื่อรับมือ ซึ่งใบเบิกทางสำคัญได้แก่ การติดตามสถานการณ์ตลาดโลกอย่างใกล้ชิด การเตรียมความพร้อมเรื่องข้อมูลสารเคมี การนำระบบสัญลักษณ์สารเคมีสากล (Globally Harmonised System: GHS) มาปฏิบัติอย่างฉลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทดแทนที่เป็นผลิตภัณฑ์รักษาสิ่งแวดล้อม การรู้เท่าทันกติกาสากล ร่วมพันธมิตร เพื่อปกป้องประโยชน์ของชาติ การสร้างโอกาสจากความพร้อมก่อนคู่แข่ง และการที่ภาครัฐจะต้องเข้ามาส่งเสริมเอกชนให้พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืน
จากนั้น รศ.สุชาตา ชินะจิตร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สกว. กล่าวถึงภาคีความร่วมมือเพื่อการเพิ่มขีดความสามารถการจัดทำข้อมูลความปลอดภัยว่า ด้วยกฎระเบียบที่กล่าวมาทำให้เกิดแนวคิดที่ให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง อาทิ สกว. หน่วยข้อสนเทศวัตถุอันตรายและและความปลอดภัยฯ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กรมวิทยาศาสตร์บริการ และสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เข้าไปร่วมกับผู้ประกอบการเอกชนรวมกลุ่มเป็นภาคีความร่วมมือในด้านนี้ขึ้น เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงอย่างทันเหตุการณ์ อาทิ การพัฒนาห้องปฏิบัติการมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับจากสากล ด้วยการพัฒนาห้องปฏิบัติการที่มีอยู่แล้วกว่าหมื่นแห่งทั่วประเทศ และการพัฒนาฐานข้อมูลสารเคมี โดยขณะนี้ ทั้ง 2 ด้านนี้ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น
“ประเทศไทยมีตัวเลขการส่งออกไปยังประเทศในกลุ่มอียูปีละ 500,000 ล้านบาท มีสินค้าส่งออกสำคัญที่ต้องใช้สารเคมีในการผลิตคือ ผลิตภัณฑ์สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์และผลิตภัณฑ์จากไม้ รองเท้ากีฬา และรถยนต์ การร่วมกลุ่มภาคีจึงมีวัตถุประสงค์เบื้องต้นเพื่อรักษาตลาดในอียูเป็นอันดับแรก นอกจากนี้ยังส่งผลให้สินค้าต่างๆ ในประเทศมีความปลอดภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากขึ้นตามไปด้วย” รศ.สุชาตา กล่าว
อย่างไรก็ตาม พบว่าในการประชุมสัมมนาครั้งนี้ ผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งยังไม่เข้าใจและสับสนกับกฎระเบียบของอียูอยู่มาก อาทิ มีข้อซักถามเกี่ยวกับปัญหาความลับทางการค้ารั่วไหล ซึ่ง รศ.สุชาตา เปิดเผยภายหลังการประชุมสัมมนาว่า ความตื่นตัวในเรื่องกฎระเบียบดังกล่าวของอียูในประเทศไทยยังมีอยู่น้อยมาก แม้ว่า สกว.จะจัดการอบรมเรื่องดังกล่าวมา 3 ครั้งแล้วก็ตาม เนื่องจากผู้ประกอบการยังไม่เห็นความสำคัญของผลกระทบที่จะมีต่อกิจการของตนเอง นอกจากนี้ ผู้ร่วมการประชุมสัมมนามักไม่ใช่ผู้บริหาร และมีการเปลี่ยนหน้ากันบ่อย ทำให้ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจนถูกต้อง จึงไม่สามารถรับคำปรึกษาแนะนำได้
“หากเราไม่มีข้อมูลสารเคมีจากผู้ประกอบการ เราก็ไม่สามารถจะช่วยวิเคราะห์ปัญหาของเขาและหาทางช่วยเหลือเขาได้ ส่วนที่เกรงว่าความลับทางการค้ารั่วไหลจากการส่งข้อมูลมาทางเรา ผู้ประกอบการก็อาจรวมกลุ่มกันส่งข้อมูลสารเคมีมาให้เราวิเคราะห์ก็ได้ เราก็จะไม่รู้ว่าข้อมูลสารเคมีชนิดใดมาจากบริษัทไหน” รศ.สุชาตา กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับผู้ที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎระเบียบดังกล่าว สามารถสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.chemtrack.org และ http://chemtrack.trf.or.th