6 เอกชนลงนามสัญญาใช้เทคโนโลยีตรวจหาปริมาณสบู่ลอเรตในน้ำยาง สกว.ปลื้ม เริ่มเปิดผลงานสู่ตลาด วอนผู้ประกอบการเอกชนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีเพิ่มมูลค่าน้ำยางข้น ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ ยกญี่ปุ่นไปไกลกว่าไทยทั้งที่ต้องนำเข้าน้ำยางจากประเทศอื่น
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จัดพิธีลงนามสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิเทคโนโลยี “การตรวจหาปริมาณสบู่ลอเรต (Laurate) ในน้ำยาง” วันนี้ (11ต.ค.) ณ โรงแรมอโนมา กรุงเทพฯ โดยมี รศ.ดร.พีรเดช ทองอำไพ รอง ผอ.สกว. เป็นประธานการลงนามระหว่างผู้บริหารเอกชน 6 แห่งได้แก่ บริษัทชัวร์เท็กซ์ จำกัด บริษัทไทยฟิลาเท็กซ์ จำกัด บริษัทไทยรับเบอร์เท็คซ์กรุ๊ป จำกัด บริษัทด็อกเตอร์ บู จำกัด บริษัทไทยฮั้วยางพารา จำกัด (มหาชน) และองค์การสวนยาง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ทั้งนี้สบู่ลอเรตเป็นสารละลายด่างใช้ทำให้น้ำยางมีเสถียรภาพต่อการใส่สารเคมี และทำให้สารเคมีเกิดการกระจายตัวได้ดี ไม่ตกตะกอน โดยปกติในน้ำยางข้นจะมีสบู่ลอเรตเป็นองค์ประกอบประมาณ 1% แต่ยังคงต้องเติมสบู่เพิ่มลงไป เพื่อให้การเก็บน้ำยางไปใช้งานได้นานขึ้น อย่างไรก็ดีการเติ่มสบู่อาจทำให้เกิดฟองขึ้นในยาง ซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์บางชนิด อาทิทำให้เกิดรอยรั่วในถุงมือหรือถุงยางอนามัยจากฟองของน้ำยาง ขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์ เช่น ฟองน้ำก็ต้องการปริมาณฟองของน้ำยางมาก การใส่สบู่จะทำให้เกิดฟองได้ง่าย ช่วยลดระยะเวลาการตีฟองลง
นางวราภรณ์ ขจรไชยกุล ผอ.โครงการวิจัยแห่งชาติ: ยางพารา สกว. กล่าวว่าโครงการวิจัยยางพาราแห่งชาติได้ให้การสนับสนุนทุนวิจัยระดับปริญญาตรีและอนุปริญญาด้านการวิจัยยางธรรมชาติแก่นักวิจัยภายใต้โครงการทุนวิจัยขนาดเล็ก (Small Project of Rubber/SPR) ซึ่งมีระยะเวลา 6 เดือน และมีเป้าหมายให้ได้ผลงานวิจัยเบื้องต้นที่จะนำไปสู่การต่อยอดในเชิงพาณิชย์ เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยางของประเทศต่อไป
“ผลงานวิจัยโครงการทุนวิจัยขนาดเล็กในปี 2547 ที่ได้ถ่ายทอดไปสู่ผู้ประกอบการแล้วและกำลังยื่นขอจดสิทธิบัตร เนื่องจากเป็นผลงานที่จัดว่าเป็นนวัตกรรมเทคโนโลยีการตรวจคุณภาพน้ำยางคือ เทคโนโลยีการตรวจหาปริมาณสบู่ลอเรตในน้ำยางอย่างง่ายและรวดเร็ว” นางวราภรณ์ กล่าวและว่า
“สำหรับผลงานในปี 2548 เริ่มทยอยเสร็จสมบูรณ์แล้ว ทางโครงการวิจัยยางพาราได้พิจารณาพบว่า กลุ่มนักวิจัยในโครงการ ทุนวิจัยขนาดเล็ก จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ได้ผลิตผลงานเกี่ยวกับการหาข้อมูลความสำคัญและอิทธิพลของสบู่ชนิดต่างๆ ที่เพิ่มความเสถียรให้น้ำยางข้น นอกจากนี้ยังมีเรื่องการแปรรูปน้ำยางพาราเป็นกาวหรือสารเชื่อมติดไม้และโลหะ ตลอดจนแปรเป็นสารเคลือบผิวอีกด้วย”
นางวราภรณ์ ระบุต่อไปว่า ผลงานที่กล่าวมานี้จึงสมควรได้รับการเผยแพร่ในกลุ่มอุตสาหกรรมยาง เนื่องจากมีศักยภาพขยายขนาดหรือสามารถพัฒนาต่อยอดให้มีการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ พร้อมกันนี้ ผอ.โครงการวิจัยยางพาราแห่งชาติ ยกตัวอย่างว่า ประเทศไทยยังไม่มีการแปรรูปเพิ่มมูลค่าน้ำยางข้นที่มากเพียงพอ เมื่อเทียบกับประเทศญี่ปุ่นที่ไม่สามารถปลูกยางได้เอง และต้องนำเข้าน้ำยางข้นจากประเทศอื่น แต่สามารถแปรรูปเพิ่มมูลค่าและส่งกลับมาขายในประเทศไทยในราคาที่แพงขึ้นได้ จึงอยากกระตุ้นให้ผู้ประกอบการของไทยได้รับรู้ และเป็นการชี้ประเด็นให้เกิดการพัฒนาเพื่อการแข่งขันของคนไทย
“การนำเข้าความรู้มาจากต่างประเทศย่อมไม่สามารถนำมาพัฒนาต่อยอดได้ อีกทั้งไม่มีความยั่งยืน และไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของคนไทย เทคโนโลยีที่เราผลิตขึ้นเพื่อนำมาเพิ่มมูลค่าให้แก่น้ำยางข้นและผลิตภัณฑ์ยางจึงเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจมาก ดีกว่าการซื้อจากต่างประเทศเพียงอย่างเดียว” นางวราภรณ์ กล่าวและชี้แจงว่า สำหรับผลงานการวิจัยเรื่องเทคโนโลยีทางเลือกเพื่อเพิ่มมูลค่าน้ำยางข้นและผลิตภัณฑ์ที่สกว.ให้การสนับสนุนที่กล่าวมาข้างต้น ได้มีการรวบรวมเป็นรูปเล่มแล้ว ภาคเอกชนที่สนใจสามารถติดต่อขอผลการวิจัยได้ที่ สกว. ที่เบอร์โทรศัพท์ 0-2298-0455 ต่อ 161,168 หรือโทรสาร 0-2298-0476