แฟนพันธุ์แท้ไอน์สไตน์เผย 3 แง่มุมความเป็นมนุษย์ของอัจฉริยะโลก อย่างแรกความเป็นนักคิดที่ชอบเอาโจทย์เก่าของเลขและฟิสิกส์มาคิดเพื่อความรื่นรมย์ สองไม่เล่นการเมืองด้วยเห็นว่าไม่อยู่นิรันดร์เช่นเดียวกับสมการ และสุดท้ายคือการเขียนจดหมายถึงเพื่อนอันยาวนานถึง 49 ปี ด้านอาจารย์ฟิสิกส์จุฬา เผยแม้ไอน์สไตน์จะเป็นอัจฉริยะแต่น้อยคนจะอยากเป็นนักฟิสิกส์ด้วยค่าตอบแทนอันน้อยนิด
วานนี้ (17 ก.ย.) ศูนย์หนังสือแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จัดเสวนา “100 ปีไอน์สไตน์มหัศจรรย์แห่งปีฟิสิกส์โลก 2005” ซึ่งได้เชิญแฟนพันธุ์แท้ของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) อย่าง ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ นักวิชาการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) มาปาฐกถาให้หนอนหนังสือได้ทราบผลงานและแง่มุมชีวิตของนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก พร้อมด้วย ผศ.ดร.รัฐชาติ มงคลนาวิน อาจารย์จากภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมเสวนา โดยมี ผศ.มานิต รุจิวโรดม กรรมการผู้อำนวยการสำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ดำเนินรายการ
สำหรับที่มาของปีฟิสิกส์โลกนั้นหลายคนคงจะพอทราบว่าเป็นการฉลองครบรอบ 100 ปีการเสนอผลงานของไอน์สไตน์ในวัย 26 ที่เรียกว่าสั่นสะเทือนวงการฟิสิกส์ ไม่ว่าจะเป็นการเสนอว่าแสงประพฤติตัวเป็นอนุภาคได้นอกเหนือจากการมีคุณสมบัติเป็นคลื่น หรือสมการ E=mc2 ที่เผยความสัมพันธ์ระหว่างมวลและพลังงานที่เปรียบเหมือนด้านทั้งสองของเหรียญ แต่หลายคนเข้าใจผิดและเอาไปเชื่อมโยงว่าสมการดังกล่าวคือสูตรสร้างระเบิดปรมาณู อย่างไรก็ดีหลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมถึงประกาศให้ปีที่น่าฉลองแก่ไอน์สไตน์เป็นปีฟิสิกส์โลก
ข้อสงสัยข้างต้น ดร.บัญชาชี้แจงว่าไอน์สไตน์เป็นสัญลักษณ์ของนักวิทยาศาสตร์จำนวนมาก คนทั่วไปรู้จักไอน์สไตน์ในฐานะนักวิทยาศาสตร์แม้จะไม่รู้ว่าเขาทำอะไรก็ตาม นักฟิสิกส์จึงถือโอกาสที่จะขยายไปฉลองให้วงการฟิสิกส์แทนที่จะฉลองให้ไอน์สไตน์อย่างเดียว และการที่นักฟิสิกส์ตื่นเต้นกับปีนี้มาก ดร.บัญชาเปรียบเทียบให้เห็นว่า เมื่อ 100 ปีที่ผ่านนั้น ประเทศไทยเพิ่งพัฒนา เพิ่งจะมีรถไฟและอะไรๆ ได้ไม่นาน แต่คนที่คิดเรื่องนามธรรมระดับโลกอย่างไอน์สไตน์ได้ไปไกลถึงขั้นพบความลับของแสง อวกาศและเวลาแล้ว
ด้าน ผศ.ดร.รัฐชาติ เสริมว่าเมื่อ 100 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่มีการศึกษาฟิสิกส์แม้แต่ภาควิชาฟิสิกส์ จุฬาฯ ที่เก่าแก่ที่สุดก็ยังมีอายุไม่ถึง 80 ปี อีกทั้งไอน์สไตน์ยังเสนอผลงานสำคัญตั้งแต่อายุเพียง 26 ปี แสดงให้เห็นว่าเขาต้องมีความเข้าใจในฟิสิกส์มาก่อนมากพอสมควร อย่างในเรื่องแสงก็มีการศึกษาและยอมรับกว่า 200 ปีว่ามีสมบัติเป็นคลื่นคือสามารถแทรกสอด เลี้ยวเบนและหักเหได้ ซึ่งความรู้เหล่านี้จะรู้ได้ต้องทำการทดลอง เมื่อเห็นเป็นจริงก็ยึดถือว่าเป็นเช่นนั้น จนกระทั่งไอน์สไตน์คิดต่อไปว่าแสงน่าจะเป็นอนุภาคได้ ซึ่งยิ่งศึกษาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์มากก็ต้องมีจินตนาการมากเช่นกัน การที่ไอน์สไตน์เสนอเช่นนั้นแสดงว่าเขาต้องมีทั้งจินตนาการที่สูงมากและมีความรู้อย่างลึกซึ้งที่จะดึงความคิดเช่นนั้นออกมาได้ เช่นเดียวกับเราเชื่อว่าอิเล็กตรอนแต่ก็ยังไม่มีใครเคยเห็นว่าเป็นอย่างไรต้องอาศัยจินตนาการอย่างเดียว
การที่แสงเป็นได้ทั้งคลื่นและอนุภาคอาจทำให้หลายคนสับสนว่าแสงเป็นอะไรกันแน่ จะเป็นทั้งสองอย่างเชียวหรือ ดร.บัญชาก็ได้ชี้แจงว่าการจะบอกว่าแสงเป็นคลื่นหรืออนุภาคนั้นขึ้นอยู่แสงอยู่ในเหตุการณ์อะไร เปรียบเหมือนสามี-ภรรยาคู่หนึ่งที่เป็นตำรวจอยู่โรงพักเดียวกันโดยที่สามีเป็นสารวัตรมีตำแน่งสูงกว่าภรรยา เมื่ออยู่โรงพักสามีก็เป็นใหญ่กว่าภรรยา แต่เมื่ออยู่บ้านภรรยาก็เป็นใหญ่กว่าสามี ดังนั้นจะถามว่าสามี-ภรรยาใครใหญ่กว่ากันต้องถามต่อท้ายด้วยว่าที่ไหน เช่นเดียวกับถามว่าแสงเป็นคลื่นหรืออนุภาคต้องถามต่อท้ายด้วยว่าภายใต้เหตุการณ์อะไร
นอกจากผลงานด้านวิชาการที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ต่างยกย่องไอน์สไตน์แล้ว ดร.บัญชากล่าวว่าไอน์สไตน์ยังมีจุดอื่นที่น่าสนใจนั่นคือมุมมองในความเป็นมนุษย์ที่มีด้วยกันหลายมุม แต่ ดร.บัญชาได้ยกตัวอย่างมา 3 มุม ตัวอย่างแรกคือคำพูดของไอน์สไตน์ที่พูดถึงการใช้เวลาของเขา ไอน์สไตน์กล่าวว่าในยามที่ไม่มีปัญหาอะไรพิเศษติดอยู่ในสมองเขาแล้ว เขามักจะเอาทฤษฎีทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ที่รู้จักกันดี มาทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยที่เขาไม่มีวัตถุประสงค์อื่นใดในการกระทำดังกล่าว นอกจากเพียงเพื่อให้อยู่ในภวังค์อันรื่นรมย์แห่งการคิด
“ทำให้เราเข้าใจว่าทำไมคนถึงบอกว่าไอน์สไตน์เป็นนักคิดระดับโลก” ดร.บัญชากล่าวและยกตัวอย่างถัดไปนั่นคือเมื่อครั้งที่ไอน์สไตน์อายุมากและมีชื่อเสียงแล้ว รัฐบาลอิสราเอลได้เชิญให้ไอน์สไตน์ไปเป็นประธานาธิบดี แต่เขาปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง พร้อมทั้งให้วาจาอมตะที่หลายคนจดจำว่า “การเมืองเรื่องชั่วครู่อยู่ไม่นาน สมการสัจจะคงอยู่นิรันดร์”
ส่วนตัวอย่างสุดท้ายคือไอน์สไตน์ได้แสดงความผูกพันกับเพื่อนชาวโรมาเนียชื่อ เมาไรซ์ โซโลไวน์ (Maurice Solovine) ด้วยการเขียนจดหมายติดต่อกันนานถึง 49 ปี เริ่มตั้งแต่ ค.ศ.1906-1955 โดยที่ฉบับสุดท้ายนั้นเขียนก่อนไอน์สไตน์เสียชีวิตเพียง 2 เดือน ทั้งนี้เพื่อนคนนี้คือคนที่มาเรียนฟิสิกส์กับไอน์สไตน์แต่เกิดพูดคุยกันถูกคอในเรื่องศาสนา การเมืองและปรัชญา ไอน์สไตน์จึงเสนอให้เขาไปเรียนฟิสิกส์กับคนอื่นแต่ให้มาคุยกันในเรื่องดังกล่าวทุกอาทิตย์ จนกระทั่งเมื่อต้องจากกันก็ยังคงเขียนจดหมายติดต่อกันเสมอ ดร.บัญชากล่าวว่าตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าไอน์สไตน์มีความเป็นมนุษย์เหมือนกับทุกคน
อย่างไรก็ดีแม้ว่าไอน์สไตน์จะได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะ แต่ ผศ.ดร.รัฐชาติกล่าวว่าน้อยคนจะอยากเป็นอย่างไอน์สไตน์เพราะเมื่อพิจารณาถึงผลตอบแทนของการเป็นนักฟิสิกส์ก็ไม่ได้มากนัก อีกทั้งประเทศไทยก็เป็นประเทศเกษตรกรรมจึงไม่ค่อยได้รับความสำคัญเท่าไหร่ ผิดกับไต้หวันที่มีความเจริญทางด้านเทคโนโลยีและเงินเดือนของนักฟิสิกส์ก็มากกว่าแพทย์และวิศวกร คนจึงต้องการเรียนฟิสิกส์มากเป็นอันดับ 1 นอกจากนี้ในฐานะที่ศึกษาอยู่ในอังกฤษตั้งแต่ระดับ ม.ปลายจนถึงปริญญาเอก ผศ.ดร.รัฐชาติกล่าวว่าคนอังกฤษก็ไม่ได้ยกย่องไอน์สไตน์เพียงคนเดียว เพราะผลงานของไอน์สไตน์จะเกิดไม่ได้หากไม่มีใครทดลองเพื่อพิสูจน์ อีกทั้งอังกฤษก็มีนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกหลายคน นักวิทยาศาสตร์จึงได้รับความสำคัญเท่าเทียมกัน


