xs
xsm
sm
md
lg

“คุณหญิงหมอ” สอนน้องโคลนนิงจะทำนักนิติวิทย์ลำบาก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คุณหญิงหมอ “พรทิพย์” สอนน้องค่ายนิติวิทยาศาสตร์ เวลาเปลี่ยนกระบวนการพิสูจน์ความจริงเปลี่ยน โคลนนิงอาจทำให้เกิดความสับสน พบไตในถังขยะอาจไม่ได้แปลว่ามีการฆ่า พร้อมยกตัวอย่างกรณีศึกษา “คดีเจนจิรา” แสดงลักษณะที่ต้องเป็นคนช่างสังเกต และอยากสืบจากศพไม่จำเป็นต้องเป็นแพทย์

วันนี้ (30 ส.ค.) แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ รองผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ได้บรรยายพิเศษเกี่ยวกับเทคนิคที่หลากหลายสำหรับการเป็นนักนิติวิทยาศาสตร์ในหัวข้อ “Techniques available for forensic scientists” ให้แก่เยาวชนในค่าย “นักสืบนิติวิทยาศาสตร์” ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ซึ่งค่ายดังกล่าวอยู่ในโครงการค่ายวิทยาศาสตร์ถาวร ของศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)

แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์หรือคุณหญิงหมอได้แนะนำแก่เยาวชนในค่ายว่าหากต้องการทำงานทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ไม่จำเป็นต้องเป็นหมอเพราะยังมีผู้เชี่ยวชาญอีกหลายด้านที่สามารถพิสูจน์หาข้อเท็จจริงได้ แต่ทั้งนี้จะต้องมีลักษณะสำคัญ 5 ประการคือ 1.ช่างสังเกตคือต้องรู้จักเก็บรายละเอียด 2.ช่างคิดคือต้องรู้จักตั้งคำถาม ช่างสงสัย 3.ช่างค้นคือต้องชอบอ่าน ชอบค้นไม่ว่าจะเป็นในหนังสือหรืออินเทอร์เน็ต 4.วิเคราะห์ และ 5.มีกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งการค้นคว้าจะทำให้เกิดการวิเคราะห์และนำไปสู่กระบวนการเรียนรู้ต่อไป พร้อมทั้งกำชับว่าการจะเป็นนักนิติวิทยาศาสตร์ที่ดีจะต้องมีความซื่อสัตย์

คุณหญิงหมอได้ยกตัวอย่างคดี “เจนจิรา” เป็นกรณีศึกษาสำหรับอธิบายกระบวนการคิดวิเคราะห์ โดยคดีดังกล่าวเป็นคดีที่นายเสิรม สาครราษฎร์ได้สังหาร น.ส.เจนจิรา พลอยองุ่นศรี ด้วยวิธีฆ่าและชำแหละศพ คุณหญิงหมอเล่าว่ากระบวนการนิติวิทยาศาสตร์ของคดีดังกล่าวเริ่มจาก น.ส.เจนจิราซึ่งมีผลการเรียน 3.7 ได้หายตัวไป ซึ่งปกตินักศึกษาหญิงที่เรียนดีมักจะไม่โดดเรียนจึงสังเกตเห็นความผิดปกติ และด้วยความช่างสังเกตสามารถบอกได้ว่าการพบกะโหลกที่เนื้อตรงใบหน้าถูกชำแหละออกไปแต่ตรงคอยังมีเนื้อติดอยู่นั้น “เป็นการฆาตกรรมอำพราง”

จากคดีดังกล่าวมีการพบหลักฐานเพิ่มเติมคือถุง “เคเอฟซี” ที่มีคราบสีน้ำตาล ซึ่งตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นคราบซอสพริกในขณะที่คุณหญิงหมอคาดว่าจะคราบเลือดที่เน่า แต่ผลจากการตรวจดีเอ็นเอพบว่าเป็นดีเอ็นเอของเพศชายและทราบภายหลังว่าเป็นคราบอสุจิของ “เสริม” ซึ่งไม่เกี่ยวกับรูปคดี คุณหญิงหมอจึงสรุปว่าหลักฐานบางชิ้นก็ไม่จำเป็นต่อคดี พร้อมสรุปว่า “ของที่เหมือนกันอาจจะปรากฏไม่เหมือนกันและของที่เหมือนกันก็อาจจะปรากฏเหมือนกัน” โดยในกรณีดังกล่าวคราบเน่าของเลือดและอสุจิต่างก็มีสีน้ำตาลเน่าเหมือนกัน

นอกจากนี้คุณหญิงหมอยังกล่าวว่าไม่ใช่เพียงแค่เป็นหมอหรือนักวิทยาศาสตร์ก็จะสามารถเป็นนักนิติวิทยาศาสตร์ได้ เราจำเป็นต้องรู้หลักทางนิติวิทยาศาสตร์ซึ่งได้แก่ 1.ต้องมีวิธีพิสูจน์ที่เป็นวิทยาศาสตร์ (scientific method) เช่น จะรู้ว่าวัตถุพยานเป็นเลือดต้องหาฮีโมโกลบิน 2.ต้องรู้ว่ามีปัจจัยแวดล้อมอะไรบ้างที่เป็นสาเหตุของความแปรเปลี่ยนต่างๆ (scientific dynamic) ซึ่งไม่จำเป็นต้องคิดให้ซับซ้อน เช่น คน 2 คนดื่มเหล้าชนิดเดียวกัน ปริมาณเท่ากันแต่ตรวจพบปริมาณแอลกอฮอล์ไม่เท่ากัน ตัวแปรอาจจะเป็นข้าวในกระเพาะอาหารที่ทำให้การดูดซึมต่างกันหรืออัตราการดูดซึมในลำไส้ที่ต่างกัน เป็นต้น

“การพิสูจน์ในทางนิติวิทยาศาสตร์ไม่ใช่ตรวจผลในห้องแล็บ ที่ตรวจแล้วจะรู้ผลว่าใช่ ไม่ใช่ สมมติเราจับผู้หญิงได้พร้อมกับแก๊งฆาตกรรม แล้วเขาบอกว่าไม่เกี่ยวเลยแต่ผลตรวจที่มีมือด้วยน้ำยาพบว่าเปื้อนเลือด เขาจำเป็นต้องเป็นฆาตกรด้วยไหม ไม่จำเป็น อาจจะเป็นเลือดของเขาเองก็ได้เพราะผู้หญิงอาจจะมีประจำเดือน อย่างนี้เป็นต้น เราต้องรู้ว่ามีปัจจัยอะไรบ้าง”

3.นิติวิทยาศาสตร์มีระยะเวลาในการตรวจและการยอมรับ (science is durable) ซึ่งคุณหญิงหมออธิบายว่ามี 2 ความหมาย อย่างแรกหลักฐานทุกอย่างไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน เช่น เขม่าลูกปืนที่หมดไปหลังยิงปืนได้ 3-6 ช.ม. และอีกอย่างคือเมื่อเวลาผ่านไปวิธีการตรวจก็เปลี่ยนไป เช่น เมื่อก่อนใช้วิธีการตรวจความเป็นพ่อ-แม่-ลูก ด้วยการตรวจหมู่เลือดซึ่งจะได้ความน่าจะเป็น แต่ปัจจุบันใช้การตรวจดีเอ็นเออย่างเดียว และหากว่าต่อไปการโคลนนิงอวัยวะหรือโคลนนิงคนสำเร็จขึ้นมา กระบวนการตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ก็จะยุ่งยากขึ้นเพราะหากมีคนพบไตที่เกิดจากการโคลนนิงอาจจะไม่ได้หมายความว่ามีการฆาตกรรมเกิดขึ้น

“ไปเจอไตในถังขยะ ไม่ได้แปลว่าเขาฆ่ามานะ อาจจะเป็นไตที่มาจากห้องทดลอง โคลนนิงไต 5 ชุด ใช้ไปที่เหลือทิ้งเสีย 4 ชุด ไปแจ้งความตำรวจ มนุษย์ถูกฆ่า 2 คน พอไปตรวจดีเอ็นเอ งง ทำไมเหมือนกัน การยอมรับมันก็จะมีช่วงเวลาด้วย ไม่ใช่ว่า ใช่แล้วต้องใช่ตลอดกาล เพราะฉะนั้นคนที่ทำงานด้านนิติวิทยาศาสตร์ต้องอ่านอยู่เสมอ ต้องรู้ว่าปัจจุบันเขาใช้อะไร เดี๋ยวนี้ไม่ใช้อะไรแล้ว” คุณหญิงหมอกล่าวพร้อมยกกรณีนักวิทยาศาสตร์คิดเครื่องดูดกลิ่นที่เอามาวัดความเหม็นเพื่อบอกว่าตายมานานเท่าไหร่ ซึ่งมีการนำเครื่องดังกล่าวมาใช้ในการตรวจเพลิงไหม้แล้ว

และหลักการสุดท้ายคุณหญิงหมอย้ำว่าให้นึกเสมอว่านิติวิทยาศาสตร์คือวิทยาศาสตร์ประยุกต์ (forensic science is applied science) ไม่ใช่วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ความน่าเชื่อถือจึงไม่เหมือนกัน ซึ่งปัจจุบันนิติวิทยาศาสตร์มีความน่าเชื่อถือใน 3 อย่างคือ 1.ดีเอ็นเอซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะบุคคล แต่ในแฝดที่ดีเอ็นเอเหมือนกันจะสามารถตรวจได้ในลายนิ้วมือและประวัติการทำฟันที่ไม่เหมือนกัน 2.ลายนิ้วมือที่มีลักษณะบุคคลแต่ไม่กว้างเท่าดีเอ็นเอที่สามารถตรวจหาสายพันธุ์และความเป็นพ่อ-แม่-ลูกได้ 3.เกลียวกระสุนปืนลูกโดดซึ่งเกลียวจะแก้ปัญหาการเคลื่อนแบบโปรเจ็กไทล์หรือการเคลื่อนที่วิถีโค้งให้ลูกกระสุนพุ่งตรงเป้าซึ่งก็มีลักษณะเฉพาะเช่นกัน

พร้อมกันนี้คุณหญิงหมอได้ยกตัวอย่างการประกอบอาชีพสาขานิติวิทยาศาสตร์ต่างๆ ที่ไม่ต้องเป็นแพทย์ อาทิ นิติพยาธิวิทยา (Forensic Pathology) ซึ่งเป็นการชันสูตรศพซึ่งจะต้องตรวจที่เกิดเหตุประกอบด้วยและต้องมีความช่างสังเกตสิ่งแวดล้อมในที่เกิดเหตุ งานนิติเวชคลินิก (Clinical Forensic) ซึ่งแพทย์ทั่วไปสามารถทำได้ หรือนิติจิตเวช (Forensic psychology) ซึ่งมีกระบวนการวิเคราะห์พฤติกรรมของคนร้าย เช่น คนที่มักจะวาดบ้านไม่มีหลังคา วาดคนไม่มีหัว หรือเขียนภาษาอังกฤษตัวตัวอักษรใหญ่ล้วนเป็นลักษณะของคนที่ไม่ปกติ ทั้งนี้มนุษย์ทุกคนแสดงความผิดปกติออกมาได้ทุกบททดสอบ เหล่านี้เป็นต้น

ส่วนเยาวชนที่เข้าค่ายหลังฟังบรรยายจากคุณหญิงหมอแล้วยังมีกิจกรรมทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ที่จำลองขึ้นให้ฝึกทักษะกระบวนการสืบสวน อาทิ กิจกรรมตรวจสถานที่เกิดเหตุ ตรวจหาเจ้าของลายนิ้วมือ การตรวจเอกสารของจริงและของปลอม พร้อมทั้งเกม “ค้นหามรดกเจ้าคุณปู่” หรือ เกม “ตามหาทายาทเจ้าคุณปู่” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรม “สนุกกับเกมสืบนิติวิทยาศาสตร์” โดยจะมีเจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์หลักฐานมาร่วมให้ความรู้พร้อมกับนักวิจัยของ สวทช.ทั้งนี้กิจกรรมจะถึงวันพรุ่งนี้ (31 ส.ค.) เป็นวันสุดท้าย

กำลังโหลดความคิดเห็น