ในวาระครบรอบ 100 ปีที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ได้นำเสนอผลงานสำคัญๆ แก่โลกซึ่งได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนส่วนใหญ่ให้สะดวกสบายขึ้น แต่ผู้จัดการวิทยาศาสตร์ก็เห็นว่ายังมีหลายคนที่ไม่เข้าใจนักฟิสิกส์ผู้นี้ซึ่งน่าจะเข้าใจได้ง่ายทฤษฎีของเขา
เราจึงขออนุญาตนำบางส่วนของบทความ “7 ความเชื่อผิดๆ เพี้ยนๆ เกี่ยวกับไอน์สไตน์” ที่ตีพิมพ์ในนิตยสารสารคดีฉบับที่ 243 ประจำเดือนพฤษภาคม 2548 ซึ่งเขียนโดย ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ นักวิชาการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) มาเสนอสัปดาห์ละเรื่อง เพื่อเป็นการให้เกียรติและเฉลิมฉลองให้แก่บุคคลแห่งศตวรรษผู้นี้
ความเชื่อผิดเพี้ยน: ไอน์สไตน์ตอนเป็นเด็กแสนจะโง่ทึ่ม เรียนรู้ได้ช้า สอบตกแทบทุกวิชา
ข้อชี้แจง : ใครที่ชอบอ่านประวัติของอัจฉริยะบุคคลคงจะเคยพบว่าบ่อยครั้งที่หนังสือต่างๆ จะเล่าว่าอัจฉริยะท่านนั้นในวัยเด็กมักจะเรียนหนังสือไม่เก่ง ดูเหมือนโง่ หัวทึบ ฯลฯ และเนื่องจากไอน์สไตน์เป็นหนึ่งในบรรดาอัจฉริยะที่ผู้คนทั่วโลกคุ้นเคยกันมากที่สุด จึงมักจะเป็นตัวอย่างยอดนิยมที่ถูกกล่าวถึงในทำนองนี้อยู่เสมอ
ทั้งนี้ข้อกล่าวหาที่หนักหน่วงที่สุดเท่าที่ค้นพบเป็นลายลักษณ์อักษร ก็คือ ไอน์สไตน์เกิดมามีหัวกะโหลกบูดๆ เบี้ยวๆ ทำให้พูดได้ช้ากว่าปกติ และพอเข้าโรงเรียนก็เป็นนักเรียนที่เรียนไม่ดีและมีพฤติกรรมก้าวร้าวกับครูอีกด้วย!
แต่น่าสงสัยไหมละว่าหากไอน์สไตน์มีหัวกะโหลกบูดเบี้ยวจริง ทำไมเขาถึงได้สร้างสรรค์งานทางวิทยาศาสตร์ไว้อย่างยิ่งใหญ่เมื่อมีอายุเพียง 26 ปี ในปี ค.ศ.1905 ซึ่งถือกันว่าเป็นปีมหัศจรรย์ของไอน์สไตน์ (Einstein’s Miraculous Year)
เรื่องที่ว่าไอน์สไตน์พูดได้ค่อนข้างช้านั้น ฝรั่งเองก็เชื่อกันมาก ถึงขนาดที่บางคนเรียกอาการที่เด็กฉลาด แต่พูดได้ช้าว่า กลุ่มอาการไอน์สไตน์ (Einstein Syndrome) ประเด็นนี้มีเกร็ดสั้นๆ เล่าว่า สุภาพสตรีที่ทำงานรับใช้ในครอบครัวของไอน์สไตน์ออกปากว่าไอน์สไตน์นั้นโง่ เพราะเธอสังเกตเห็นว่าไอน์สไตน์มักจะทวนประโยคพูดซ้ำๆ สองครั้งเสมอ
แต่คนที่ศึกษาประวัติไอน์สไตน์แบบเจาะลึก เช่น คุณไมเคิล ฮาวอี (Michael J.A. Howe) แห่งมหาวิทยาลัยเอกซีเทอร์ (Exeter University) กลับมองเรื่องนี้ในอีกมุมหนึ่งว่า พูดซ้ำก็ไม่จำเป็นต้องโง่ซะหน่อย แถมยังตีความว่านี่เป็นยุทธวิธีในการทบทวนคำพูดของหนูน้อยไอน์สไตน์เพื่อให้แน่ว่าทุกประโยคที่หลุดออกจากปากนั้นถูกต้อง 100% (มองกันแง่ดีแบบสุดๆ) และในช่วงวัยนี้เองก็มีหลักฐานว่าไอน์สไตน์ชอบเล่นเกมปริศนา แถมยังฉายแววความมุ่งมั่นในการทำเรื่องหนึ่งๆ ให้เสร็จสิ้น อย่างเช่น เล่นตัวต่อ และก่อตั้งไพ่เป็นรูปบ้านอีกด้วย
มีจดหมายหลักฐานซึ่งเขียนโดยคุณยายของไอน์สไตน์เองฉบับหนึ่งระบุว่า ขณะที่หนูน้อยไอน์สไตน์อายุเพียง 2 ขวบกับ 8 เดือน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่น้องสาวชื่อมายา (Maja) ถือกำเนิดขึ้นนั้น ผู้ใหญ่พูดกับไอน์สไตน์ว่ากำลังจะมีเพื่อนเล่นใหม่แล้วนะ ทำให้หนูน้อยไอน์สไตน์ถามกลับด้วยความสงสัยว่า “แล้วล้อของ ‘ของเล่น’ ชิ้นใหม่นี้อยู่ตรงไหนละ?” (น้องสาว = ของเล่น และ ของเล่นก็ควรจะมีล้อจะได้วิ่งได้) จุดนี้เองที่มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า หากเด็กอายุไม่ถึง 3 ขวบสามารถคิดและพูดได้ขนาดนี้แล้ว จะเรียกว่าเขามีพัฒนาการช้าได้หรือ?
พอไอน์สไตน์อายุได้ 4-5 ขวบ ก็มีเหตุการณ์ประทับใจที่ทำให้เขาจดจำไปชั่วชีวิต นั่นคือคุณพ่อได้มอบเข็มทิศให้ขณะที่เขากำลังล้มป่วยอยู่ ไอน์สไตน์รู้สึกทึ่งเหลือเกินว่า ทำไมเข็มทิศถึงได้ชี้ทิศเหนืออยู่ตลอดเวลา? มันต้องมีพลังอะไรสักอย่างที่เรามองไม่เห็น รู้สึกก็ไม่ได้ ที่ทำให้เข็มทิศมีพฤติกรรมเช่นนั้น – นี่คือความประทับใจทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกของเขา ซึ่งเชื่อกันว่ามีผลต่อความมุ่งมั่นในการค้นหาสัจจะแห่งธรรมชาติตลอดชั่วชีวิตของเขา
อีกเรื่องหนึ่งที่ไอน์สไตน์โดนกล่าวหาก็คือ เขาเก่งแต่คณิตศาสตร์ แต่สอบตกวิชาอื่นหมด รวมทั้งภาษาก็ไม่ได้เรื่องอีกด้วย เรื่องนี้น่าคิด เพราะประวัติที่ค้นได้บ่งว่าเขาชื่นชมภาษาลาตินเหลือเกิน เนื่องจากภาษาลาตินมีกฎเกณฑ์ทางไวยากรณ์ที่งดงาม ส่วนเรื่องการเขียนรายงานนั้นก็มีหลักฐานของทางโรงเรียนว่าเขาทำรายงานได้ดีเช่นกัน
พออายุได้ 11 ปี ไอน์สไตน์ “วัยโจ๋” ก็สนใจอ่านเรื่อราวทางวิทยาศาสตร์กับศาสนา และก็เริ่มคิดว่าเรื่องราวทางศาสนาหลายเรื่องนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้ และในช่วงเวลานี้เอง ไอน์สไตน์ก็เริ่มสนใจคณิตศาสตร์ และสามารถพิสูจน์ทฤษฎีบทของไพธากอรัส (Pythagoras) ได้ด้วยตนเอง แม้ว่าจะใช้เวลาหลายสัปดาห์ก็ตามที (อย่าลืมว่าไอน์สไตน์เรียนรู้เองตอนอายุเพียงแค่ 11 ปี เท่านั้น)
พออายุได้ 12 ปี คุณลุงของไอน์สไตน์ซึ่งเป็นวิศวกรก็ได้มอบหนังสือเรขาคณิตให้เขาใช้ศึกษา ไอน์สไตน์รู้สึกประทับใจในความเรียบง่ายและความงดงามของเรขาคณิตของยูคลิดมาก และแนวทางของยูคลิดนี่เอง (“เรียบง่าย” + “งดงาม”) ที่เชื่อกันว่ามีผลต่อการคิดค้นทฤษฎีต่างๆ ทางฟิสิกส์ของเขาในเวลาต่อมา
ได้รู้ประวัติในวัยเด็ก(ถึงวัยรุ่น) ในอีกแง่มุมหนึ่งอย่างนี้แล้ว ยังคงคิดว่าไอน์สไตน์ตอนเด็กโง่ทึ่มอีกไหม?