“ยุงร้ายกว่าเสือ” คำกล่าวของคนโบราณเป็นจริงเสมอ เพราะเจ้าสิ่งมีชีวิตเลือดสีฟ้านี้เป็นพาหะที่ทำให้เกิดโรคร้ายมากมายในคน ทั้งไข้สมองอักเสบ มาลาเรีย โดยเฉพาะโรคไข้เลือดออกที่ระบาดอย่างหนักในช่วงหน้าฝนที่กำลังจะเข้ามาเยือนเราในไม่ช้า ทำให้เราทุกคนต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์อันน่าสะพรึงกลัวนี้เพราะนับวัน “มัจจุราช” ที่ติดมากับยุงจะยิ่งทวีความโหดร้ายมากขึ้น
วันนี้ (18 พ.ค.) ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีแห่งชาติ (ไบโอเทค) จึงได้จัดเสวนา “ไข้เลือดออก: จากความรู้สู่การป้องกัน” ขึ้น ณ โรงแรมสยามซิตี้ ซึ่ง ศ.พญ.สุจิตรา นิมมานนิตย์ ที่ปรึกษาสถาบันเด็กแห่งชาติ มหาราชินี ได้เปิดเผยถึงสถิติของเดือน พ.ค.นี้ว่ามีคนไทยป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกไปแล้วกว่า 7,000 คน และเสียชีวิตไป 13 ราย แม้ว่าจะได้ลดเปอร์เซ็นต์การตายหลังป่วยจาก 10 เปอร์เซ็นต์ลงไปเหลือ 1 เปอร์เซ็นต์แล้วก็ตาม
ศ.พญ.สุจิตรา ได้ให้ข้อมูลว่าพบการระบาดของไข้เลือดออกในประเทศเมื่อปี พ.ศ.2501 โดยมีการแพร่ะระบาดของโรคมากเป็นอันดับ 2 รองจากฟิลิปปินส์ หลังจากที่พบการระบาดของโรคดังกล่าวเพียงไม่กี่ปี โดยพบว่าเด็กป่วยแล้วตาย 3-4 วันหลังเกิดอาการไข้ และ 20 ปีที่แล้วโรคนี้ก็ได้กระจายไปยังอเมริกากลางและอเมริกาใต้ แต่เป็นภาวะของไข้เด็งกี่ (DENGUE FEVER) ที่จะมีอาการ ซึ่งเกิดจากไวรัสเด็งกี่ที่พบในยุงลายเช่นเดียวกับไข้เลือดออก
โดยไข้เด็งกี่จะมีไข้สูงลอย (39-40 องศาเซลเซียส) ประมาณ 2-7 วัน, ปวดศีรษะ, ปวดท้องแถวลิ้นปี่, ปวดข้อและกล้ามเนื้อ, และอาจจะมีคอแดง, อาเจียน และจุดเลือดออกใต้ผิวหนังได้ ส่วนใหญ่จะไม่มีน้ำมูกหรือไอร่วมด้วย สามารถหายเองได้ใน 4-5 วัน แต่ไข้เลือดออกจะมีความรุนแรงกว่าคือมีการรั่วของสารน้ำ (plasma) ในเลือดออกจากหลอดเลือดมากกว่า และบางรายมีอาการช็อกซึ่งหากปล่อยไว้นานจะทำให้อวัยวะภายใน เช่น ตับ ไต หัวใจล้มเหลว
สำหรับเชื้อเด็งกี่ที่ทำให้เกิดภาวะไข้เด็งกี่และพัฒนาไปสู่อาการไข้เลือดออกนั้นมีอยู่ 4 ชนิด (Serotype) ซึ่งเรียกกันว่า ชนิดที่ 1, 2, 3 และ 4 และจากข้อมูลทางการแพทย์พบว่าเชื้อเด็งกี่ชนิดที่ 2 นั้น เป็นเชื้อที่ “ดุ” มากที่สุดคือทำให้เกิดอาการของไข้เลือดออกที่รุนแรง และพบผู้ป่วยอายุต่ำสุดที่ติดเชื้อตัวนี้คือทารกอายุ 16 ช.ม.ในครรภ์มารดาที่ติดเชื้อเด็งกี่
ด้าน ดร.พญ.ปนิษฎี อวิรุทธ์นันท์ นักวิจัยจากหน่วยอณูชีววิทยาการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่าอาการของไข้เลือดออกนั้นมักจะพบในผู้ที่ได้รับเชื้อเด็งกี่ซ้ำแต่ต่างชนิดกับที่ติดในครั้งแรก ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายสร้างปัญหาขึ้น เนื่องจากร่างกายจะปล่อยภูมิคุ้มกันที่สู้กับเชื้อตัวแรกออกมาแต่ไม่สามารถกำจัดเชื้อชนิดใหม่ได้ ทำให้ไวรัสแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและก่ออาการขึ้น กล่าวคือผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเดงกี่สายพันธุ์ใดแล้ว จะมีภูมิต้านทานของสายพันธุ์นั้น แต่ก็จะมีสิทธิติดเชื้อในสายพันธุ์อื่น ๆ ได้อีก และการติดเชื้อไวรัสเดงกี่ซ้ำ เป็นสาเหตุของการเกิดโรคไข้เลือดออก
“เมื่อเชื้อเด็งกี่เข้าไปในร่างกายก็จะไปจับกับ “ตัวรับ” (receptor) ของเซลล์แล้วปล่อยสารพันธุกรรม (RNA) เข้าไปแทรกกระบวนการผลิตสารพันธุกรรมในเซลล์ เนื่องจากมันต้องการจะขยายจำนวนตัวมันเอง ทำให้เชื้อแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว” ดร.พญ.ปนิษฎีอธิบาย โดยสารพันธุกรรมของเชื้อเด็งกี่จะสามารถผลิตโปรตีนได้เพียง 10 ชนิดเท่านั้น
ทั้งนี้ทีมวิจัยของหน่วยอณูชีววิทยาการแพทย์ที่นำโดย นพ.ปรีดา มาลาสิทธิ์ และมีดร.พญ.ปนิษฎีร่วมด้วยเชื่อว่าได้พบกลไกที่เชื่อว่าน่าจะเป็นสาเหตุของโรคไข้เลือดออก โดยพบว่าหน่วยความจำของไวรัสตัวเก่าในร่างกายหรือเรียกว่า “บาปกรรมเก่า” (Original Antigenic Sin) จะกระตุ้นให้เกิดการสร้างภูมิต้านทาน แต่ไม่มีประสิทธิภาพในการอ่านไวรัสตัวใหม่ ทำให้เกิดอาการของไข้เลือดออก
และจากการทดลองทำให้ทีมวิจัยของ ดร.พญ.ปนิษฎีพบว่ามีโปรตีนเอ็นเอส 1 (NS1) มีลักษณะที่น่าจะบ่งถึงการเป็นโรคไข้เลือดออกได้ เพราะโปรตีนชนิดนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายคนแล้วจะไม่อยู่ในเซลล์ของเชื้อแต่จะเกาะอยู่ที่ผนังรอบๆ พร้อมทั้งเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วในส่วนอื่นๆ ของร่างกาย หากตรวจเลือดจะพบโปรตีนชนิดจำนวนมาก จึงได้ทำการวิจัยเพื่อจะพัฒนาชุดตรวจอย่างรวดเร็ว (Test Kit) ซึ่งจะทราบผลได้ใน 4-5 ช.ม.
ขณะเดียวกันก็มีความพยายามที่จะผลิตวัคซีนป้องกันไข้เลือด โดย ดร.สุธี ยกส้าน จากศูนย์วิจัยวัคซีน มหาวิทยาลัยมหิดล แนะว่าควรจะผลิตวัคซีนที่ป้องกันเชื้อเด็งกี่ทั้ง 4 ชนิดได้ในเข็มเดียว ซึ่งปัจจุบันสามารถผลิตวัคซีนรวมที่ป้องกันเชื้อชนิดที่ 1, 2 และ 4 ได้แล้ว และกำลังพัฒนาให้วัคซีนของเชื้อชนิดที่ 3 รวมเข้าไปได้
ส่วน รศ.นพ.นพพร สิทธิสมบัติ จากคณะแพทศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็กำลังหาวิจัยวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกอยู่เช่นกันโดยกำลังมองหารหัสพันธุกรรมที่จะให้เชื้ออ่อนลงได้ พร้อมกับอธิบายว่าหากสามารถดัดแปลงสารพันธุกรรมที่จะทำให้การผลิตโปรตีนของเชื้อเด็งกี่มีความเป็นอันตรายน้อยลงและสามารถขยายพันธุ์ต่อไปได้ ก็จะสามารถผลิตวัคซีนออกมาได้
และนพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ เลขาธิการ มูลนิธิสาธารณสูขแห่งชาติ ได้แนะนำว่าขณะที่ยังไม่มีวัคซีนใช้ ควรกำจัดยุงไปด้วย โดยวิธีที่ดีสุดคือจำกัดลูกน้ำที่พัฒนาไปเป็นตัวเต็มวัยเนื่องจากง่ายกว่ากำจัดยุง และควรทำไปพร้อมๆ กับการวิจัยวัคซีน
นอกจากนี้ทาง ดร.บุญเฮียง พรหมดอนกอย นักวิจัยจากไบโอเทคยังได้พัฒนาสายพันธุ์แบคทีเรียด้วยวิธีพันธุวิศกรรมเพื่อผลิตโปรตีนจำกัดยุงลาย โดยแบคทีเรีย Bacillus thuringiensis (Bt) และ Bacillus sphaericus (Bs) ดังกล่าวจะผลิตโปรตีนที่ทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารของลูกน้ำยุงลายและทำให้ตายในที่สุด ซึ่งมีการพัฒนาโปรตีนดังกล่าวใช้ได้ผลมา 30 ปี แล้ว แต่ไม่มีใช้อย่างแพร่หลายเนื่องจากมีราคาสูง และยังติดปัญหาในการเก็บรักษาโปรตีนเนื่องจากถูกทำลายได้ง่ายจากรังสียูวี
อีกทั้ง ยังมีการศึกษาความสัมพันธ์ของยีนควบคุมลักษณะพันธุกรรมชื่อ DC-SIGN1 กับการติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกและความรุนแรงของโรคในคนไทย 1,000 กว่าราย พบว่าความแตกต่างของเบสตำแหน่งที่ 336 ก่อนถึงยีน มีความสัมพันธ์กับความรุนแรงของการติดเชื้อไข้เลือดออก โดยคนที่มีเบสชื่อ กัวนีน (Guanine) ที่ตำแหน่งดังกล่าวเมื่อเป็นโรคจากการติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกจะมีอาการรุนแรงกว่าบุคคลที่มีเบสชื่อ อะดินีน (Adenine) 6 เท่า
แต่สุดท้ายสิ่งที่ง่ายและดีที่สุดซึ่งเราทุกคนช่วยกันได้ในตอนนี้คือต้องร่วมมือร่วมใจกันกำจัดยุงลาย โดยไม่ปล่อยให้มีแหล่งเพาะพันธุ์ด้วยการตัดตอนตั้งแต่ยังเป็นลูกน้ำ หากลดประชากรของยุงลายลงได้ การติดเชื้อไข้เลือดออกก็จะลดลง ซึ่งสิ่งนี้เรารู้กันดีอยู่แล้วแต่ต้องลงมือทำเสียที