กรมวิทยาศาสตร์บริการ บริการประชาชนที่ขาดแคลนน้ำดื่ม-น้ำใช้ ช่วย “เคาะ” สนิมในน้ำบาดาลด้วยเครื่องกรองและสารกรองราคาถูก นำทรายกวนรวมกับด่างทับทิมได้เป็นสารกรองมีอายุการใช้งานนานถึง 2 ปี และลดค่าใช้จ่ายลงกว่าครึ่ง พร้อมกันนี้ได้นำเทคโนโลยีไปถ่ายทอดแก่ประชาชนทั่วประเทศ รวมถึงผู้ประสบภัย “สึนามิ” ที่ถูกทำลายระบบประปา
ปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคและบริโภคนับว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับประชาชน และหลายพื้นที่ของประเทศไทยก็ยังไม่มีระบบประปา ประชาชนจึงจำเป็นต้องเจาะน้ำบาดาลขึ้นมาใช้ แต่ปัญหาคือในน้ำบาดาลมีสาร “สนิมเหล็ก” ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทางกรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จึงได้พัฒนาสารกรองสนิมเหล็กและผลิตเครื่องกรองน้ำสำหรับการอุปโภค-บริโภค เพื่อช่วยประชาชนแก้ปัญหา
นายชัยวัฒน์ ธานีรัตน์ นักวิทยาศาสตร์ของกรมวิทยาศาสตร์บริการกล่าวว่าในน้ำบาดาลนั้นมีตะกอนของเหล็กละลายอยู่และเมื่อสูบน้ำบาดาลขึ้นมาตะกอนก็จะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนทำให้น้ำกลายเป็นสีส้มแดงและมีกลิ่น แม้จะกรองตะกอนแล้วก็ไม่สามารถเอาสารที่ก่อให้เกิดสนิมเหล็กนี้ออกไปได้ จำเป็นต้องใช้สารเคมีในการตกตะกอนซึ่งนิยมใช้สารกรองเคลือบผิวแมงกานีสไดออกไซด์ (MnO2) แต่สารกรองดังกล่าวยังมีราคาค่อนข้างสูง
อย่างไรก็ดีเครื่องกรองสนิมเหล็กในน้ำบาดาลที่ทางกรมวิทยาศาสตร์บริการพัฒนาขึ้นมาได้นั้น ใช้สารเคมีที่หาง่ายเพียง 2 ชนิดคือ ด่างทับทิมหรือโพแทสเซียมเพอร์แมงกาเนต(Potassium permanganate: KMnO4) และทรายที่หาได้ทั่วไป ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ของกรมฯ ได้นำความรู้ในการผลิตสารกรองดังกล่าวไปเผยแพร่แก่ประชาชนทั่วประเทศ ร่วมถึงประชาชนใน ต.คึกคัก อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา ซึ่งประสบภัย “สึนามิ” ที่ทำให้ระบบน้ำประปาในพื้นที่เสียหายอย่างรุนแรงจนต้องสูบน้ำบาดาลขึ้นมาใช้
นายชัยวัฒน์กล่าวว่าสนิมเหล็กเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างไรนั้นตนไม่สามารถให้รายละเอียดได้ เนื่องจากไม่ใช้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการแพทย์ แต่น้ำบาดาลที่เป็นสนิมก็สร้างปัญหาต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น ทำให้ผู้ใช้น้ำชำล้างร่างกายรู้สึกไม่สบายตัว หรือเสื้อผ้าที่สวมใส่กลายเป็นแดงของสนิมเหล็ก เป็นต้น ดังนั้นในฐานะนักวิทยาศาสตร์ที่พอจะทำอะไรได้บ้างจึงหาทางช่วยเหลือในแนวทางที่ทำได้
ทั้งนี้กรมวิทยาศาสตร์บริการได้ร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลาและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา วิทยาเขตเชียงราย จัดเป็นเครือข่ายถ่ายทอดเทคโนโลยีเครื่องกรองน้ำแก่ประชาชนในทุกภาค โดยตั้งแต่ปี พ.ศ.2546-2547 ได้ช่วยเหลือประชาชนให้น้ำดื่มที่สะอาดไปแล้ว 680 คน และเมื่อวันที่ 22 มี.ค.-10 เม.ย.ที่ผ่านมาก็ได้ให้ประชาชนในพื้นที่ ต.คึกคัก ลงมือผลิตสารและเครื่องกรองน้ำเองกว่า 200 คน
สำหรับวิธีทำเครื่องกรองสนิมเหล็กในน้ำบาดาลนี้ จะใช้ด่างทับทิม 1 ก.ก. ต่อทรายที่คัดขนาด 20 ลิตรซึ่งละลายในน้ำ 5 ลิตร จากนั้นต้มด่างทับทิมในกระทะให้เดือดแล้วเททรายที่ทำสะอาดแล้วลงไป ขั้นต่อไปต้องกวนโดยพลิกเป็นระยะๆ จนกระทั่งทรายเริ่มหมาด ก็ให้พลิกอย่างต่อเนื่องจนเม็ดทรายแห้ง แล้วอดทนอีก 3 ชั่วโมงเพื่อจะคั่วแห้ง โดยคนพลิกทุกๆ 20 นาที จนครบกำหนดก็ทิ้งไว้ให้เย็น จะได้สารกรองราคาถูกที่มีอายุการใช้งานนาน 1-2 ปี ส่วนตัวเครื่องกรองนั้นใช้ท่อพีวีซีที่ซื้อหาได้ตามท้องตลาด
ซึ่งนายชัยวัฒน์กล่าวว่าวิธีดังกล่าวสารละลายด่างทับทิมจะเคลือบผิวของเม็ดทรายซึ่งจะจับตะกอนเหล็กเมื่อน้ำบาดาลผ่านสารกรอง และการให้ชาวบ้านลงมือทำเองจะช่วยให้ชาวบ้านเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือตนเองมากกว่าการนำอุปกรณ์ลงไปช่วยเหลือโดยชาวบ้านไม่ได้เรียนรู้อะไร แต่ทั้งนี้เขากล่าวต่อไปอีกว่าก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาลทางด้านงบประมาณรวมถึงอุปกรณ์ที่จะไปผลิตเป็นเครื่องกรอง เพราะลำพังชาวบ้านก็ทำอะไรได้ไม่มากนัก
สำหรับผู้สนใจสามารถขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักเทคโนโลยีชุมชน กรมวิทยาศาสตร์บริการ โทร.0-2201-7305-6 โทรสาร 0-2354-3896 www.dss.go.th