นักวิจัยเอ็มเทคพบวิธีใหม่พัฒนา “หินเบาจากเถ้าแกลบ” ช่วยลดน้ำหนักคอนกรีตได้ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน เป็นความหวังที่จะช่วยลดอันตรายจากอาคารถล่มเพราะแผ่นดินไหวหรืออุบัติเหตุได้มาก ทั้งยังรักษาสิ่งแวดล้อมเพราะทำจากเถ้าแกลบและของเสียทั้งหมด
เมื่อปีที่แล้ว (พ.ศ.2547) ดร.ผกามาศ แซ่หว่อง และ น.ส.อุมาพร สังข์วรรณะ นักวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ได้รับเหรียญทองรางวัล “บรัสเซลส์ยูเรกา 2004” (Brussels Eureka! 2004) จากเบลเยียม ด้วยผลงาน “เซรามิกส์จากเถ้าแกลบ” (Mullite ceramic products from waste) แต่ภัยธรรมชาติ “สึนามิ” ทำให้คนไทยต้องหันไปซับน้ำตาพี่น้องร่วมชาติและเพื่อนร่วมโลกแทนการแสดงความชื่นชมความสำเร็จก้าวแรกของพวกเขา
เซรามิกส์จากเถ้าแกลบคือมัลไลต์เซรามิกส์ (Mullite ceramic) ที่มีส่วนผสมของซิลิกาและอะลูมินา ซึ่งรู้จักกันดีในแวดวงอุตสาหกรรม แต่ผลงานชิ้นนี้เป็นวัสดุรักษาสิ่งแวดล้อมเพราะได้จากของเสีย 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นข้อดีที่ ดร.ผกามาศภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง โดยส่วนผสมของเซรามิกส์นี้มีเถ้าแกลบเป็นองค์ประกอบหลัก และเมื่อรวมกับวัสดุอื่นๆ (ของเสียอีกเช่นกัน) ก็จะได้เซรามิกส์ที่คุณสมบัติที่หลากหลาย แต่หลักๆ แล้วมีความแข็งแรง สามารถทนความร้อนได้ถึง 1,600 องศาเซลเซียส และทนการกัดกร่อนของกรดได้ดี
ล่าสุดประมาณ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ดร.ผกามาศ ค้นพบว่าเซรามิกส์ดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะพัฒนาให้มีน้ำหนักเบาเพื่อใช้แทนหินผสมคอนกรีตในการก่อสร้างอาคารได้ โดยสามารถพัฒนาเป็น “หินเบาจากเถ้าแกลบ” ที่นำหนักน้อยกว่าหินทั่วไป 40 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการค้นพบนี้จะช่วยให้อาคารที่ถล่มเนื่องจากอุบัติภัยแผ่นดินไหวหรืออุบัติเหตุอื่นๆ เช่น ไฟไหม้ เป็นอันตรายต่อคนน้อยลงได้
ดร.ผกามาศกล่าวว่า “หินเบาฯ” นี้ มีคุณสมบัติหลัก 3 อย่างคือ 1.น้ำหนักเบา 2.ช่วยดูดซับเสียง 3.ช่วยกันความร้อน และเป็นวัตถุลดโหลดหรือภาระให้กับอาคารในส่วนที่ไม่ต้องรับน้ำหนักมากอย่างผนังอาคารได้ อย่างไรก็ดี คุณสมบัติใหม่นี้กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา เรียกได้ว่าเป็นก้าวแรกของงานวิจัยเลยก็ว่าได้ จึงยังต้องศึกษาอีกมาก
นับว่าการค้นพบคุณสมบัติใหม่ของเซรามิกส์นี้เป็นความหวังใหม่ของคนไทยที่จะได้อยู่อาศัยในอาคารที่เป็นอันตรายน้อยลง และเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยการแปรรูปของเสียให้คุณประโยชน์ที่หลากหลาย ซึ่งเซรามิกส์จากเถ้าแกลบนี้ยังสามารถพัฒนาไปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นอีก เช่น ผลิตภัณฑ์ที่เป็นรูพรุนสำหรับเป็นตัวดูดซับสารพิษ หัวจุดเชิ้อเพลิง วัสดุกรองฝุ่นจากน้ำทิ้งโรงงาน และของใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นต้น


เมื่อปีที่แล้ว (พ.ศ.2547) ดร.ผกามาศ แซ่หว่อง และ น.ส.อุมาพร สังข์วรรณะ นักวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ได้รับเหรียญทองรางวัล “บรัสเซลส์ยูเรกา 2004” (Brussels Eureka! 2004) จากเบลเยียม ด้วยผลงาน “เซรามิกส์จากเถ้าแกลบ” (Mullite ceramic products from waste) แต่ภัยธรรมชาติ “สึนามิ” ทำให้คนไทยต้องหันไปซับน้ำตาพี่น้องร่วมชาติและเพื่อนร่วมโลกแทนการแสดงความชื่นชมความสำเร็จก้าวแรกของพวกเขา
เซรามิกส์จากเถ้าแกลบคือมัลไลต์เซรามิกส์ (Mullite ceramic) ที่มีส่วนผสมของซิลิกาและอะลูมินา ซึ่งรู้จักกันดีในแวดวงอุตสาหกรรม แต่ผลงานชิ้นนี้เป็นวัสดุรักษาสิ่งแวดล้อมเพราะได้จากของเสีย 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นข้อดีที่ ดร.ผกามาศภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง โดยส่วนผสมของเซรามิกส์นี้มีเถ้าแกลบเป็นองค์ประกอบหลัก และเมื่อรวมกับวัสดุอื่นๆ (ของเสียอีกเช่นกัน) ก็จะได้เซรามิกส์ที่คุณสมบัติที่หลากหลาย แต่หลักๆ แล้วมีความแข็งแรง สามารถทนความร้อนได้ถึง 1,600 องศาเซลเซียส และทนการกัดกร่อนของกรดได้ดี
ล่าสุดประมาณ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ดร.ผกามาศ ค้นพบว่าเซรามิกส์ดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะพัฒนาให้มีน้ำหนักเบาเพื่อใช้แทนหินผสมคอนกรีตในการก่อสร้างอาคารได้ โดยสามารถพัฒนาเป็น “หินเบาจากเถ้าแกลบ” ที่นำหนักน้อยกว่าหินทั่วไป 40 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการค้นพบนี้จะช่วยให้อาคารที่ถล่มเนื่องจากอุบัติภัยแผ่นดินไหวหรืออุบัติเหตุอื่นๆ เช่น ไฟไหม้ เป็นอันตรายต่อคนน้อยลงได้
ดร.ผกามาศกล่าวว่า “หินเบาฯ” นี้ มีคุณสมบัติหลัก 3 อย่างคือ 1.น้ำหนักเบา 2.ช่วยดูดซับเสียง 3.ช่วยกันความร้อน และเป็นวัตถุลดโหลดหรือภาระให้กับอาคารในส่วนที่ไม่ต้องรับน้ำหนักมากอย่างผนังอาคารได้ อย่างไรก็ดี คุณสมบัติใหม่นี้กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา เรียกได้ว่าเป็นก้าวแรกของงานวิจัยเลยก็ว่าได้ จึงยังต้องศึกษาอีกมาก
นับว่าการค้นพบคุณสมบัติใหม่ของเซรามิกส์นี้เป็นความหวังใหม่ของคนไทยที่จะได้อยู่อาศัยในอาคารที่เป็นอันตรายน้อยลง และเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยการแปรรูปของเสียให้คุณประโยชน์ที่หลากหลาย ซึ่งเซรามิกส์จากเถ้าแกลบนี้ยังสามารถพัฒนาไปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นอีก เช่น ผลิตภัณฑ์ที่เป็นรูพรุนสำหรับเป็นตัวดูดซับสารพิษ หัวจุดเชิ้อเพลิง วัสดุกรองฝุ่นจากน้ำทิ้งโรงงาน และของใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นต้น