xs
xsm
sm
md
lg

”เตาไฟในครัว” อีกเหตุสำคัญทำโลกร้อน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เอพี – นักวิจัยจากอินเดียและอเมริกันร่วมสันนิษฐานเหตุที่ภูมิอากาศบริเวณเหนือท้องฟ้าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เปลี่ยนแปลงไปนั้นเป็นเพราะ “การทำครัว” พบเขม่าสีดำจากการจุดเตาลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศมากกว่าการเผาไหม้ถ่านหิน แนะใช้เทคโนโลยีสะอาดทำครัว

ทีมวิจัยของ ดร.จันทรา เวนกาตารามัน (C. Venkataraman) จากสถาบันเทคโนโลยีอินเดีย ในบอมเบย์ (Indian Institute of Technology Bombay) เปิดเผยผลการวิจัยผ่านวารสาร “ไซน์” (Science) ว่า การเผาไม้ และปุ๋ยจากสัตว์ที่ใช้ในการประกอบอาหารนั้นเป็นเหตุหลักที่ทำให้เกิดกลุ่มก๊าซคาร์บอนสีดำในอากาศบริเวณท้องฟ้าเหนือแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“ดังนั้นพวกเรามีข้อเสนอแนะว่าให้ควบคุมการแพร่กระจายควันสู่ชั้นบรรยากาศ ด้วยการใช้เทคโนโลยีที่สะอาดกว่าเดิมในการประกอบอาหาร ซึ่งยังจะช่วยลดความเสี่ยงต่างๆ ต่อสุขภาพ หากหลายพันล้านบ้านต่างลดการปล่อยควันจากเตาในครัวลง ก็อาจจะช่วยบรรเทาสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงขณะนี้” ข้อเสนอแนะจากคณะนักวิจัย

อย่างไรก็ดี การที่อากาศเปลี่ยนแปลงมีผลต่อรูปแบบปริมาณฝนตก อันไปสู่ฤดูน้ำหลากและฤดูแล้งที่เปลี่ยนแปลงตามไป ซึ่งผลงานวิจัยที่นำมาตีพิมพ์นี้ชี้ให้เห็นถึงผลการทำลายสิ่งแวดล้อมของการก่อฟืนหรือเชื้อเพลิงอื่นๆ ในการเผาไหม้เพื่อการประกอบอาหารอันเป็นกิจกรรมสำคัญประจำวันของมนุษย์

ขณะเดียวกันนักวิทยาศาสตร์ด้านชั้นบรรยากาศส่วนใหญ่ทั่วโลกกำลังกังวลถึงปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างเช่น คาร์บอนไดออกไซด์ โดยเฉพาะจากการผลิตของโรงงานที่เป็นตัวการสำคัญทำให้อุณหภูมิของดาวโลกเพิ่มสูงขึ้นถ้วนทั่ว ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกาลอากาศของโลก

ทั้งนี้ คณะนักวิจัยยังได้ทดสอบการใช้เชื้อเพลิงชนิดต่างๆ เผาไหม้ในเตาทำอาหารที่ชาวอินเดียนำมาใช้ เพื่อตรวจหาเขม่าที่ได้แถมมา และยังวัดปริมาณเขม่าที่ลอยขึ้นสู่อากาศของเชื้อเพลิงแต่ละชนิด

พวกเขาคำนวณได้ว่าเขม่าดำที่อยู่ในชั้นบรรยากาศนั้น 42% มาจากไฟในเตาของห้องครัว 25% มาจากการเผาถ่านหิน และอีก 13% มาการเผาไหม้ในที่โล่ง เช่น ไฟป่า

นอกจากนี้ยังมีนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ในลอสแองเจลลิส (University of California, Los Angeles) ร่วมทีมศึกษาครั้งนี้ด้วย โดยงานวิจัยชิ้นนี้ได้รับงบประมาณจากองค์การวิจัยทางอวกาศของอินเดีย (Indian Space Research Organization), มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในซานดิเอโก (University of California, San Diego), สถาบันวิทยาศาสตร์สุขภาพและสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐ (U.S. National Institute of Environmental Health Sciences) และองค์กรพิทักษ์สิ่งแวดล้อมสหรัฐฯ (U.S. Environmental Protection Agency)
กำลังโหลดความคิดเห็น